“หักดิบ” เป็นสำนวนไทยแบบ “บ้านๆ” แต่กลับเป็น“คำฮิต ติดตลาด” ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและยาวนาน โดยคำ “หักดิบ” กำเนิดมาจากชาวสวนเป็นปฐม ซึ่งหมายถึง “ผลไม้ยังไม่ปากตะกร้อ” แต่คนกินใจเร็วกว่าแสง จึงรีบ “สอย” ในขณะที่ยัง “กินไม่ได้” แบบ “หักดิบ”

ในวันนี้ “หักดิบ” มีความหมายลามปามไปไกล “อะไรที่ไม่ควรทำ” แต่มนุษย์หัวดื้อรั้นอยากทำ ก็จะต้องมีการ “หักดิบ”

การอภิปรายในสนามโคลีเซียมเกียกกายใน “ศึกชิวหา” ที่ฝ่ายค้านถล่ม 6 รัฐมนตรีในด้านต่างๆ ต้องถือว่าเป็นรายการ “หักดิบ”

ที่ระบุว่า “หักดิบ” เพราะฝ่ายค้านยังไม่สามารถ “ขุดลึก” จนเห็น “กระดูกกันชัดๆ” ว่า รัฐมนตรีคนใดมีการ “ทุจริตจนสุกงอม” จนควรที่จะ “ทำการสอยได้แล้ว”

แต่การอภิปรายกลายเป็นการนำข่าวจากสื่อทั้งหลายที่เสนอผ่านมาแล้วอย่างยาวนาน “ทำการตัดแปะ”แล้วหยิบมาหวังจะ “แล่เนื้อเอาเกลือทา” กลับถูกนายพรานไพรจากป่าทึบแห่งการเมืองฝ่ายรัฐบาล “สวนกลับ” จน “เงิบ”

เมื่อฝ่ายค้าน “นำผลไม้ที่ยังไม่สุก แต่หักดิบมาวางขายตลาด” เช่นนี้ จึงทำให้ “ศึกชิวหา” ที่ผ่านมาและกำลังจะจบลง กลายเป็น “ผลไม้ที่ขายไม่ได้”

“ศึกชิวหา” ที่ผ่านมาจึงเป็น “งานสุดกร่อย” ไม่เป็นระดับ “มันยกสามร่อง” หรือ “มันพะยะค่ะ” เหมือนศึกชิวหาครั้งเก่าๆ ที่ผ่านมา

ด้วยประการฉะนี้ “นักรบแถวสอง” จึงยังไม่ได้ข้ามชั้นเป็น “นักรบแถวหนึ่ง”

แถม “ติวเตอร์คนดัง” หรือ “ท่านฉลามน้ำลึก” พลอยเสียยี่ห้อราคาคุยที่วาดหวังว่า “ศึกอภิปรายครั้งนี้ จะเป็นทุ่งสังหาร 6 รัฐมนตรี” แต่สุดท้ายไม่ใช่

เปิด “ศึกชิวหา” ครั้งต่อไป ต้องรอผลไม้ให้สุกก่อนนะท่านสส.ผู้ทรงเกียรติ “แล้วจึงสอยให้ร่วง” อย่างหักดิบเหมือนครั้งนี้

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม