สถานการณ์ล่าสุดที่ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สภาวะโควิดระดับที่ 3 หรือยัง? ด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 934 ราย และเสียชีวิตเพิ่มเป็น 4 ราย ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่ก้าวกระโดดมาจากสัปดาห์ก่อน ซึ่งในทางการแพทย์ได้ออกมาพูดกันถึงตัวเลขของผู้ติดเชื้อว่าหากมีตัวเลขการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อที่ประมาณ 20-22 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มไปในแบบของประเทศญี่ปุ่นที่มีผู้ติดเชื้อสะสมมากแต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ในทางกลับกันถ้าไม่สามารถควบคุมปริมาณผู้ติดเชื้อได้จนมีปริมาณเพิ่มวันละ 30 เปอร์เซ็นต์จะทำให้ประเทศไทยเข้าสู่วิกฤติระดับเดียวกับประเทศอิตาลี ทั้งหมดคือการคาดการณ์จากจำนวนประชากรและการศึกษากรณีที่เกิดในต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลต้องประเมินได้แล้วว่าประเทศไทยอาจต้องใช้ยาแรงเพื่อระงับยับยั้งการแพร่กระจายก่อนที่จะสายเกินไป
มติครม.ล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ผ่านมามีการอนุมัติเงินกว่า 4 หมื่น 5 พันล้านบาทจากงบกลาง เพื่อช่วยเหลือประชาชนจากวิกฤติโควิดในทั้งทางตรงและทางอ้อม และมีมติให้อำนาจนายกฯในการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อใช้ในการควบคุมสถานการณ์ซึ่งกำหนดวันเวลาว่าจะประกาศใช้วันที่ 26 มี.ค. 2563 นี้ ซึ่งจะออกมาในรูปแบบใดต้องติดตามในวันที่26 แต่มีการคาดการณ์กันไปในหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการประกาศปิดเมืองให้ประชาชนอยู่ในบ้าน หรือยังคงให้ดำเนินชีวิตตามปกติเพียงแต่มีเคอร์ฟิวให้เข้าอยู่ในเคหสถานในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งมาตรการจะค่อยๆ เข้มขึ้นตามสถานการณ์และความรุนแรงของโรคที่มากขึ้นไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็มิวายมีคนเล่นการเมืองท่ามกลางวิกฤติของชาติ ความขัดแย้งทางการเมือง คือกับดักที่ถ่วงรั้งกระบวนการแก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 ทั้งที่ควรเป็นวาระระดับชาติที่ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันแก้ไขแม้จะไม่ได้เป็นรัฐบาลแต่ในฐานะผู้แทนของประชาชน หรือกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ปากบอกอาสาทำเพื่อประชาชน
การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไม่เกี่ยวกับความเชื่อทางการเมือง ประชาชนทุกคนล้วนสามารถติดโรคกันได้อย่างถ้วนหน้า สิ่งที่นักการเมืองทั้งหลายที่ใกล้ชิดประชาชนพึงต้องทำในเวลานี้ คือช่วยเหลือประชาชน หรืออย่างน้อย พยายามสื่อสารข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง และเป็นความรู้ในการป้องกันตนเองของประชาชนไปในแนวทางเดียวกัน
ในช่วงที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนเป็นอย่างมากทั้งอัตราของผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ที่อาจถึง 1,000 รายเร็วๆ นี้ และการออกมาตรการที่ค่อยๆ เข้มข้นขึ้นจากทางภาครัฐ ที่ประชาชนควรติดตามข่าวให้ดี รวมทั้งการมอบอำนาจให้จังหวัดได้ดำเนินการบางส่วนได้เองที่ประชาชนในพื้นที่ยิ่งต้องติดตามข่าวจากจังหวัดตนเองอย่างใกล้ชิด อย่างการประกาศเปิดจุดคัดกรองของจังหวัดบุรีรัมย์ทั้งเข้าและออก รวมถึงอีกหลายจังหวัด โดยขึ้นกับสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่ที่เผชิญปัญหาต่างกัน หรือการประกาศปิดห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารในพื้นที่ กทม. โดยที่อนุญาตให้ซูเปอร์มาร์เก็ต ตลาดสดยังสามารถเปิดทำการได้ ส่วนร้านอาหารสามารถซื้อกลับบ้านได้เท่านั้นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งเป็นมาตรการที่เข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดแม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้าง
แต่สุดท้ายก็เหมือนสะดุดขาตัวเองเพราะโฆษกรัฐบาลออกมาให้สัมภาษณ์แย้งทันทีในทำนองว่ายังไม่มีมาตรการปิดห้างสรรพสินค้า ให้ฟังประกาศจากราชการเท่านั้น ซึ่งการปฏิบัติงานแบบนี้สร้างความสับสนให้กับประชาชนว่าในสถานการณ์ความวุ่นวายเช่นนี้ควรฟังใครกันแน่? ได้มีการประสานกันหรือไม่? ซึ่งแทนที่จะสร้างความมั่นใจให้กับรัฐบาลกลับเป็นการลดทอนความเชื่อมั่นของรัฐบาลที่มีอยู่น้อยอยู่แล้วให้น้อยลงไปอีก ซึ่งก็มีประชาชนออกมาตั้งคำถามว่าสถานการณ์เช่นนี้ควรได้เห็นการเคลื่อนไหวศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีพล.อ.ประยุทธ์นั่งเป็นประธานหรือไม่? เพื่อให้การทำงานมีความชัดเจน และเชื่อถือได้
ในช่วงเวลาที่วิกฤติของประเทศและยากลำบากของประชาชน นอกจากเราจะไม่เห็นพวกนักการเมืองสามัคคีออกมาช่วยเหลือประชาชนแล้ว ก็ยังเห็นการโจมตีสร้างความขัดแย้งไปมา ในประเด็นการบริหารจัดการเรื่องโควิด ว่าใครถูกใครผิด
อย่างไรก็ตาม ก็มีการวิพากษ์ วิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจ ที่ก่อนหน้ารัฐบาลเตรียมแจกเงินประชาชนแต่ล่าสุดแต่ละพรรคก็มีการเสนอมาตรการทางเศรษฐกิจไปในทำนองคล้ายๆ กัน มีขุนพลเพื่อไทยอย่างคุณหญิงสุดารัตน์ที่ออกมาพูดว่า ต้อง
ก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมืองไปก่อน และเสนอแนวทางในเรื่องเศรษฐกิจที่เป็นมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบจากการหยุดงาน เลิกจ้าง หรือการขาดรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราภาษี การลดค่าน้ำไฟ การพักชำระหนี้ ซึ่งว่าไปข้อเสนอเป็นเรื่องที่น่าสนใจและดูแตกต่างจากการแจกเงิน และต่อมาอีกหลายพรรคก็นำเสนอแพ็กเกจแจกประมาณนี้ นับไปแล้วในอดีตเวลาเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจในประเทศเราก็จะเลือกใช้นโยบายประมาณนี้เพื่อลดรายจ่ายประชาชน
แต่ครั้งนี้สถานการณ์ที่เป็นสถานการณ์ค่อนข้างฉุกเฉินและอาจไม่ได้ตีกรอบเฉพาะไทย แต่หมายรวมไปถึงเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากสภาวะโควิดเช่นกัน หากให้รัฐบาลตัดรายได้ของตัวเองเสียทั้งหมดเพื่ออุ้มธุรกิจทุกภาคส่วน จะตอบโจทย์หรือไม่? เพราะรัฐบาลยังคงมีภาระที่ต้องแบกรับในการจัดทั้งบริการสาธารณะ การทำรัฐสวัสดิการแก่คนพิการ ผู้สูงอายุ ไปจนถึงงานสาธารณสุขที่จำเป็นอย่างยิ่งในนาทีนี้
แน่นอนว่ามาตรการในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการประกาศให้มีการหยุดงาน และจำกัดพื้นที่การแพร่เชื้อเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แต่ต้องคิดให้รอบคอบและแยกส่วนงบประมาณรัฐควรทุ่มมาแก้ปัญหาแต่ก็ต้องคิดถึงเป้าหมายว่าจะส่งประโยชน์ถึงมือประชาชนตามเป้าแต่ละกลุ่มที่มีปัญหาแตกต่างกันหรือไม่ และต้องคำนึงถึงภาระการคลังหลังจากนี้เช่นกันอย่างไรก็ตาม การเสนอแข่งนโยบายกันของพรรคการเมืองก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างยิ่ง
แต่ในขณะที่สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า จะมีการเปิดตัวของคณะก้าวหน้าโดยมีนายธนาธร นายปิยบุตร และนางสาวพรรณิการ์ อดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งก็มีคนตั้งคำถามว่าถูกเวลาหรือไม่ และประชาชนได้ประโยชน์ในภาวะวิกฤติฉุกเฉินนี้อย่างไร? เป็นการฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของประเทศหรือไม่?
หลายฝ่ายทราบดีถึงการยุบพรรคอนาคตใหม่และการตัดสิทธิ์นักการเมืองบางส่วนในช่วงระยะหนึ่ง แต่การออกมาเรียกกระแสทางการเมือง พร้อมปล่อยแคมเปญ “3 ยุบ 2 เลิก แก้วิกฤติชาติ” โดยเสนอให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ กกต. และ สว.แต่งตั้ง เลิกรัฐธรรมนูญ มาตรา 279 ที่ให้นิรโทษกรรมคณะรัฐประหาร แก้มาตรา 265 เปิดทางร่างรัฐธรรมนูญให้โดยตัวแทนของประชาชน แล้วนำมาโยงกับเรื่องโควิดโดยใช้หน้ากากอนามัยเป็นสื่อแสดงข้อความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล
ทำแบบนี้คิดว่าดีต่อประชาชนในยามฉุกเฉินเช่นนี้หรือ? สอดรับกับพรรคที่ถูกมองว่าเป็นตัวแทนอย่างพรรคก้าวไกล ได้ออกมาพูดถึงมาตรการออก พ.ร.ก. ในทำนองว่าต้องใช้ในสภาวะที่เหมาะสมเท่านั้นเพราะอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯย่อมส่งผลกระทบต่อเสรีภาพของประชาชน ถูกว่าการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯจะกระทบเสรีภาพของประชาชนแต่ขณะนี้สถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ เสรีภาพ กับความปลอดภัยในชีวิตสิ่งใดควรมาก่อนกัน เรื่องนี้ประชาชนตัดสินได้เอง?
ซึ่งก็มีทั้งผู้สนับสนุนและผู้เห็นต่างจากกลุ่มอดีตอนาคตใหม่ก็ต่างตั้งคำถามว่าถูกที่ถูกเวลาหรือไม่ และตกลงแล้วใครที่ไม่ก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง? ประชาชนส่วนใหญ่ในเวลานี้กำลังประสบปัญหาทางสาธารณสุขที่อาจไม่พอเพียง และต่อมากำลังจะเผชิญกับปัญหาปากท้อง และชีวิต คือครอบครัวที่ต้องรักษาไว้ ซึ่งนั่นทำให้กระบวนการภาคการเมืองจำต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้อยู่ถูกที่ถูกทาง และเป็นประโยชน์กับประชาชนในภาวะวิกฤติฉุกเฉินตอนนี้
การเดินนโยบายของรัฐบาลต่อจากนี้ที่ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่าง สุขภาพและการมีชีวิตรอดของประชาชนจากโรคภัย กับ ปากท้องและการมีชีวิตรอดจากการที่ไม่อดตาย เพราะเป็นสถานการณ์ที่ยังไม่เคยมีใครเผชิญมาก่อน และไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไร จึงยากที่จะต้องตัดสินใจ แต่นี่อาจเป็นส่วนสำคัญของมนุษยชาติให้ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองครั้งใหญ่หลังจากนี้....
“ธรรมดาผู้มีปัญญาอันพิสดาร แม้จะคิดการสิ่งใดก็ลึกซึ้ง ผู้มีปัญญาน้อยหาหยั่งรู้ถึงตลอดไม่ อุปมาเหมือนพญาครุฑ แม้จะไปในทิศใดก็ย่อมบินโดยอากาศอันสูงสุดสายเมฆ
มิได้บินต่ำเหมือนสกุณชาติซึ่งมีกำลังน้อย”
ขงเบ้ง สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี