หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 5 คน เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา กระแสการเมืองไทยดูจะดุดัน รุมถล่มรัฐบาลอย่างรุนแรงทั้งเรื่องเศรษฐกิจฝืดเคือง คนในชาติมีความเหลื่อมล้ำกันมากขึ้น รัฐบาลถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้กับเจ้าสัว ธุรกิจขนาดใหญ่ของคนไม่ดีแต่มีเงิน ก่อให้เกิดการผูกขาดในกิจการโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง รถไฟความเร็วสูงที่เพิ่งจะประมูลกันไป ผูกขาดในแวดวงพลังงานและเครื่องอุปโภคบริโภค ที่สำคัญแม้กระทั่ง สุรา นารี ภาชี กีฬาบัตรก็ไม่เว้น
ในเวลานั้น รัฐบาลประยุทธ์ อยู่ระหว่างการตัดสินใจที่จะปรับ ครม. ว่าจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่ ซึ่งภายหลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ ได้ สส. เข้ามาอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลมากขึ้น สัดส่วนของรัฐมนตรีต่อจำนวน สส. แต่ละพรรคย่อมเปลี่ยนไป ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ดูจะแสดงความเป็นตัวของตัวเอง หัวแข็ง แม้จะยอมยกมือรับรองให้ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ก็แสดงออกถึงความรังเกียจ รมต. บางคนอย่างออกนอกหน้า
ขณะที่ รมต.ว่าการกระทรวงต่างประเทศปรารถนาจะลาออกจากตำแหน่ง
รมต.อีกกระทรวงหนึ่งก็กลัวจะถูกปรับออกเพราะขาลอย ไม่มีสส.สนับสนุน
หัวหน้ากลุ่มก๊วนสามมิตรก็อยากจะเข้ามาดำรงตำแหน่งในกระทรวงพลังงาน
รมต. ที่อดีตเคยค้าผงสีขาว ที่อ้างว่าเป็นมันสำปะหลัง ออกมาเปรยว่าตนคือเส้นเลือดใหญ่ของรัฐบาลนี้ ถ้าประชาชนไม่ยอมรับก็พร้อมจะให้ปรับออก
ขณะเดียวกัน ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่คละคลุ้ง ซึ่งก่อความรำคาญยังไม่จางหาย ปัญหาภัยแล้งก็กำลังจะมาเยือน
รัฐบาลจึงเสียขวัญ นายกรัฐมนตรีดูจะเมาหมัด เสียรูปมวย พูดจาหงุดหงิด โมโหง่าย แสดงวาจาไม่เป็นมิตรกับนักข่าวที่ทำหน้าที่ถามแทนประชาชน
นักเรียน นิสิต นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ออกมาแสดงพลัง แยกย้ายกันในสถาบันการศึกษาทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ไฟแห่งความไม่พอใจเริ่มจุดติด ต่อต้านการปกครองระบอบประชาธิปไตยซ่อนรูปรวมศูนย์อำนาจ โดยมีกองทัพวุฒิสภาอยู่เบื้องหลัง มีฉากหน้าคือพรรคร่วมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นไม้ประดับของระบอบประชาธิปไตย
การเรียกร้องความยุติธรรมทางการเมืองโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะมีที่ยืนทางการเมืองในรัฐสภาจึงเกิดขึ้นส่งเสียงตะโกน กึกก้อง ลุกลามด้วยแฟลชม็อบแฟลชของไฟฉาย และสื่อสารในโลกอินเตอร์เนต
มิไยจะปรากฏเหตุการณ์ที่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ อย่างกรณีพรรคฝ่ายค้านบางพรรคถูกกล่าวหาว่าล้มมวย รับผลประโยชน์เพื่อเว้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรองนายกฯ พล.อ.ประวิตร และ รมว. มหาดไทย พล.อ. อนุพงษ์ แล้วยังมี สส.หญิงของพรรคแกนนำรัฐบาลถูกกล่าวหาว่ารุกพื้นที่ป่า
กองทัพไทยดูจะหม่นหมอง หลังจากมีทหารกราดยิงชาวบ้านที่โคราช มีการหยิบยกธุรกิจของกองทัพที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ทหารหาญ เช่น แข่งม้า เปิดสนามมวย คุมหวย และทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งยังถูกครหาเรื่องทุจริตการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ การเข้าไปหาผลประโยชน์ในรัฐวิสากิจมากมายหลายแห่ง รวมทั้งการครอบครองคลื่นวิทยุ โทรศัพท์ เพื่อหาประโยชน์ส่วนตนโดยอ้างเพื่อสวัสดิการและขวัญกำลังใจ
ทันใดนั้น COVID-19 ก็อุบัติขึ้น
สร้างวิกฤติใหม่ที่ใหญ่หลวง แทรกลงตรงกลางระหว่างวิกฤติการเมือง เศรษฐกิจ และความสกปรกของหน่วยงานบางแห่งของรัฐ
เชื้อโรคร้ายสร้างความตระหนก ความหวาดกลัว หวาดหวั่น จนลืมปัญหาอื่นของบ้านเมืองไปเสียหมด
การปรับ ครม. ก็ยุติลง ผู้จะถูกปรับออกก็เงียบ หยุดส่งเสียงซุกตัวอยู่ในซอกหลืบ
เศรษฐกิจที่ย่ำแย่จากฝีมือการบริหารประเทศที่สร้างความเหลื่อมล้ำ สร้างอภิสิทธิ์ให้คนบางกลุ่ม เกิดรวยกระจุก จนกระจาย ก็สามารถเบี่ยงเบนไปโทษเหตุที่เกิดโรคระบาด COVID-19 ว่าเข้ามาขวิดเศรษฐกิจจนพัง
กระบวนการยุติธรรม การเลือกปฏิบัติที่กำลังถูกวิพากษ์หยิบยกขึ้น โดยปัญญาชนคนรุ่นใหม่ รวมถึงผู้พิพากษาที่ยิงตัวตายก็คงจะตายฟรี ระบบและกระบวนการยุติธรรมที่มีปัญหาก็ดำเนินต่อไป
ตามเดิม
การกระทำของกองทัพในอดีตก็อาจจะถูกลืมที่ไม่มีการหยิบยกขึ้นมาอีก แม้กระทั่งเหตุการณ์ที่สนามมวยลุมพินีที่ใช้อำนาจเหนืออำนาจทางการจัดชกมวยนัดพิเศษจนเกิดการแพร่ระบาดโรค COVID-19 อย่างรุนแรง และกองทัพก็ขอให้ประชาชนลืมเหตุที่เกิดขึ้น แล้วขอตั้งต้นใหม่
การเมืองในสถานการณ์ฉุกเฉิน COVID-19
รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลาย และตามคำเรียกร้องของหลายฝ่าย
แต่การประกาศตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว เป็นการรวบอำนาจของรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ที่มีอำนาจตามพระราชบัญญัติของตนมาไว้ที่นายกรัฐมนตรี แม้จะไม่ได้มีการปลดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีแต่นายกรัฐมนตรีก็สามารถใช้อำนาจสั่งการไปได้ก่อนโดยไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง
ยิ่งกว่านั้น ยังมอบอำนาจการสั่งและความรับผิดชอบให้แก่ปลัดกระทรวงต่างๆ และผู้บัญชาการทหารสูงสุดในการสั่งการอีกด้วย
สถานการณ์นี้ จึงไม่ต่างกับการดำเนินงานของ คสช. เมื่อครั้งยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เพียงแต่มี รมต. เข้าร่วมเป็นกรรมการด้วยเท่านั้น
ถามว่า ในยามวิกฤติเช่นนี้ เสมือนเรือจะล่มไฟกำลังไหม้ โรคกำลังระบาด ก็ย่อมต้องใช้วิธีเผด็จการมีการสั่งการรวมศูนย์ด้วยความรวดเร็วเด็ดขาด ใช่หรือไม่?
ก็ต้องตอบว่า ใช่ เพราะยามนี้จะใช้การมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยถึงแนวทางการดับไฟหรือหยุดยั้งโรคระบาดคงไม่ได้ แต่ผู้สั่งการผู้รับผิดชอบจะต้องรับผิดและรับชอบ กับประเทศที่มีพลเมืองมากกว่า 60 ล้านคน มีเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ของคนในสังคมที่มีมูลค่าอย่างมหาศาล
ก็ได้แต่ตั้งความหวัง และคอยสวดมนต์ให้นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มาจากกองทัพ และบรรดาปลัดกระทรวง ฝ่ายราชการ นำพาบ้านเมืองถูกทิศทาง ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ในชั้นนี้ จึงอยากรู้ว่าพรรคการเมืองและสส.ที่เป็นตัวแทนของประชาชน จะมีความคิดอย่างไร และจะมีกลเม็ดเด็ดพรายแบบไทย อย่างไรต่อไป
คณะบุคลากรทางการแพทย์ ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในโรคระบาด COVID-19 และการดูแลรักษาประชาชน ย่อมจะมีอำนาจในการตัดสินใจที่สำคัญของนายกรัฐมนตรี เรียกว่าบรรดาบุคลากรทางการแพทย์มีอำนาจทางการเมืองในยามวิกฤติครั้งนี้ ก็ขอให้กำลังใจ และขอแสดงความเห็นใจที่ทำหน้าที่เป็นด่านหน้า ทำสงครามกับโรคร้าย
เมื่อเสร็จศึก COVID-19 แล้ว หากนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ บรรดาปลัดกระทรวงและคณะบุคลากรทางการแพทย์ทำหน้าที่ได้ประสบความสำเร็จ ซึ่งผมก็หวังและเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น
สิ่งที่น่ากังวลทางการเมืองการปกครองก็คือ ประชาชนส่วนหนึ่งจะแยกไม่ออก ว่าในยามวิกฤติเรือจะล่ม ไฟไหม้ โรคกำลังระบาด เราจำเป็นต้องใช้อำนาจรวมศูนย์ เพราะหากเชื่องช้าก็จะเกิดเภทภัยกับประชาชน หากผลสำเร็จยิ่งเกิดมากก็จะมีคนหลงชื่นชมอำนาจรวมศูนย์มากขึ้น
แต่ในยามปกติ อำนาจรวมศูนย์ที่ฝากไว้กับกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่โดยขาดการตรวจสอบ ถ่วงดุล
ขาดการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้คน ย่อมไม่มีหลักประกันว่ากลุ่มบุคคลนั้นจะไม่บริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์ของตนและผู้ใกล้ชิด
COVID ที่อุบัติขึ้นในครั้งนี้ จะขวิดการเมืองไทยในระยะยาวให้เป็นอย่างไร ต้องคอยดูต่อไป
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี