อีกสัปดาห์หนึ่งซึ่งปัญหาโควิด-19 ของโลกและของประเทศไทย ยังเป็นประเด็นที่น่าสนใจและน่าวิตกนอกจากเรื่องการแพทย์ การเยียวยาทางเศรษฐกิจหรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลในหลายๆ ประเทศ
แต่ในประเทศไทย มีข่าวดีที่คนไทยมีความปลื้มปีติอย่างมากคือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระราชดำรัสแสดงความห่วงใยเรื่องโควิด-19 แก่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมควบคุมโรคและอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่า พระองค์ท่านทรงเป็นห่วงและชื่นชมหมอ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ทำงานได้อย่างดียิ่ง
นอกจากนั้น พระองค์ได้พระราชทานอุปกรณ์การแพทย์และเวชภัณฑ์และพระราชทานแนวทางในการปฏิบัติงานให้ผู้เข้าเฝ้าฯเพื่อนำไปปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งสมกับที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย นับเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตอันหาที่สุดไม่ได้ ยังทรงสนับสนุนเรื่องเครื่องมือการแพทย์ต่างๆ ให้รัฐบาลด้วย
ที่น่าสนใจก็คือ พระองค์ยังทรงเห็นว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยคาดไม่ถึงกระทบทุกๆ ประเทศ ต้องช่วยกัน และจะต้องให้คนไทยมีจิตสำนึก อุปนิสัยและวินัยในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ
ในขณะที่โลกยังไม่มียารักษาคนให้หาย พฤติกรรม วินัยและจิตสำนึกของคนไทยในการรักษาระยะห่าง (Social Distancing หรือ Physical Distancing)ทั้งในที่ทำงานและที่บ้านก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากในปัจจุบัน เพราะลำพังการรักษาพยาบาลโดยการแพทย์อย่างเดียวก็ไม่พอ
อาทิตย์นี้มีแนวโน้มว่า สถานการณ์ในบางประเทศเริ่มดีขึ้น แต่ก็เป็นแค่แนวโน้ม เช่น
ในอิตาลี และสเปน มีจำนวนคนตายเป็นจำนวนมาก ถึงแม้จำนวนคนตายมีแนวโน้มลดลง
ในประเทศไทยในช่วงนี้ ก็มีแนวโน้มว่า ผู้ป่วยใหม่ลดลงบางวัน แต่บางวันก็ยังสูงขึ้นยังไว้วางใจไม่ได้
ที่อเมริกา ถึงตัวเลขยังสูงอยู่ แต่ในนิวยอร์ก ตัวเลขผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลมีแนวโน้มลดลงแต่จำนวนคนตายยังสูงอยู่ คงจะต้องดูต่อไป
หลายคนคงมีความหวังมากขึ้น โดยเฉพาะตัวอย่างของจีนและเกาหลีใต้ที่มีตัวเลขผู้ป่วยขึ้นสูงสุด แล้วค่อยๆ ลดลงมา แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า แนวโน้มอาทิตย์ต่อๆ ไปจะเป็นอย่างไร
มีอีกหลายประเด็นที่ผมอยากจะแบ่งปัน
ข้อแรกคือ แนวโน้มระดับโลกว่า จำนวนผู้ป่วยสูงสุดที่ยุโรปแล้ว จะขยายไปยังประเทศใหญ่ๆ เช่น อินเดียหรือไม่ เพราะอินเดียยังยากจนอยู่และประชากรมีมากอยู่อย่างแออัดผมยังก็เป็นห่วงประเทศในแอฟริกาว่า เป็นกลุ่มที่เรื่องระบบการแพทย์ยังอ่อนแออยู่ ถึงมีผู้ป่วยไม่มาก แต่ตัวเลขก็เริ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ
นอกจากนี้ ยังเป็นห่วงประเทศที่ยังมีสงคราม มีผู้อพยพเป็นจำนวนมาก เช่น ซีเรีย ถ้าขยายมากกว่านี้ น่าจะยุ่งมากๆ เพราะระบบการแพทย์ยังอ่อนแอ ยังดี ซีเรียยังมีผู้ป่วยไม่มาก
ประเทศอย่างอิหร่านซึ่งถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐ เศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอมาก ยังมีปัญหาโควิด-19 มากมาย ถึงเวลาแล้วที่ประเทศในโลกควรผนึกกำลังในการช่วยเหลืออิหร่านด้วย และอเมริกาน่าจะยกเลิกการคว่ำบาตรต่ออิหร่านด้วย
โควิด-19 เกิดเพราะโลกเชื่อมโยงกันหรือที่ผมเขียนมาจากโลกาภิวัตน์ทางลบ การระบาดของโรคจึงแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเพราะโรคติดต่อกันง่ายมากไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศหรือการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างมหาศาลในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
แต่เมื่อมีโควิด-19 การท่องเที่ยว ระบบเศรษฐกิจ เช่น การส่งออกหรือห่วงโซ่อุปาทานระหว่างประเทศก็หยุดชะงัก ทำให้เศรษฐกิจของทุกประเทศมีปัญหาอย่างมากในปัจจุบัน
วิธีการแก้ปัญหาโรคระบาดในอนาคตคือ ประเทศในโลกต้องป้องกันร่วมกัน คือมีองค์การอนามัยโลก (WHO) แต่มีความร่วมมือระหว่างประเทศในการทำวิจัยพัฒนายาและวัคซีนหรือสัญญาณการเตือนภัยล่วงหน้าอย่างจริงจังเพราะผมเชื่อว่า โรคระบาดไม่ได้มาหนเดียว ในอนาคต อาจจะมาอีกและมาในรูปแบบต่างๆ กัน จึงต้องมีความพร้อมในการร่วมมือของโลก
ต้องยกย่องรัฐบาลในหลายประเทศและองค์การอนามัยโลก (WHO)ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ได้ผนึกกำลังกันแก้ปัญหาโรคระบาดในหลายๆ โรคเช่น SARS, H1N1, ไข้หวัดนกได้ดี ไม่ลุกลามเช่นโควิด-19 แต่น่าเสียดายในปัจจุบัน โรคโควิด-19 กลับไม่มีผู้นำในการแก้ปัญหาเพราะอเมริกาเน้นแต่ตัวเองซึ่งเป็นความล้มเหลวของผู้นำในสหรัฐอย่างน่าอดสูที่สุดแถมทรัมป์ยังโจมตีองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า ทำงานได้ผลเพราะต้องการหาผู้รับผิดชอบแทนความผิดของเขาเอง น่าเศร้ามาก
ในอนาคตจะมีแนวทางอย่างไรที่ป้องกันโรคระบาดที่อาจจะมาอีก น่าจะมีแนวทางเช่น
แนวทางแรกก็คือ จีน เช่น ผู้นำ สี จิ้น ผิง ถูกมองว่า เป็นผู้นำของโลกเพราะอเมริกาจะสนใจแต่ตัวฉัน จีนพร้อมและมีโอกาสเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาโรคระบาดได้ อาจจะมีการเปลี่ยนผู้นำในสหรัฐที่ไม่ใช่ทรัมป์ ถ้าเป็นโจ ไบเดนคู่แข่งของทรัมป์ ซึ่งเคยเป็นรองประธานาธิบดียุคโอบามาของสหรัฐเคยเป็นผู้นำโรคอีโบลา ก็อาจจะฟื้นอเมริกากลับมาได้ แต่ถ้าเป็นทรัมป์อยู่ต่อ ก็คงพึ่งสหรัฐไม่ได้เลย
ประเด็นสุดท้ายที่อยากจะพูดถึงประเทศไทยคือ เรื่องการอยู่บ้านของคนไทยและบทบาทของพยาบาลไทยในยุคโควิด-19
ต้องเข้าใจก่อนว่า บ้าน ในความหมายของคนไทยไม่ใช่บ้านที่มีคุณภาพเสมอไป ที่อยู่สบาย มีสถานที่กว้างขวาง แต่บ้านในที่นี้ หมายถึง บ้านที่ไม่มีคุณภาพหรือแม้กระทั่งบ้านในสลัมหรือบางคนอาจจะไม่มีบ้านอยู่ด้วย ซึ่งอยู่บ้านแบบนี้อาจจะไม่ช่วยลดการแพร่ระบาดของโควิด-19
ฝากรัฐบาลคุณประยุทธ์ดูประเด็นนี้ด้วยว่า การอยู่บ้านอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ถ้าเป็นบ้านที่อยู่มีคุณภาพใช้ได้ คนในบ้านบางคนอาจจะออกไปทำงาน เมื่อกลับมาก็ต้อง Social Distancing ด้วยเพราะอาจจะนำเอาเชื้อมาจากข้างนอกปัจจุบัน ตัวเลขการแพร่เชื้อในบ้านมากขึ้น
แต่ถ้าเป็นบ้านที่มีคุณภาพคับแคบ น่าจะมีความเสี่ยงมากเพราะแออัด บ้านในสลัม ซึ่งรัฐบาลไทยก็ต้องดูด้วยว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร และจะต้องดูแลคนไร้บ้านด้วย ซึ่งก็มีเป็นจำนวนมาก
ส่วนประเด็นสุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงคือ เรื่องการแพทย์ของไทยซึ่งมีคุณภาพอยู่แล้ว แต่การรักษาพยาบาลส่วนใหญ่จะต้องประกอบไปด้วยพยาบาลด้วยซึ่งต้องมีหน้าที่ดูแลคนไข้โควิด-19 อย่างใกล้ชิด
ผมโชคดีที่เคยเห็นการทำงานและใกล้ชิดกับกลุ่มพยาบาลที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) และจึงเห็นถึงคุณค่าของพยาบาลในโลกและในประเทศไทย
คือพยาบาลปัจจุบันไม่ใช่แบบเดิมแล้ว มีความรู้ทางวิชาการทั้งทางการแพทย์และทางการบริหารจัดการมากขึ้น อาจารย์ก็จบปริญญาเอกในคณะพยาบาลตามมหาวิทยาลัยต่างๆ มากขึ้น พยาบาลบางคนไปเรียนปริญญาโทและทำงานไปด้วย
ในสังคมโดยทั่วไปก็ยังมองพยาบาลเป็นที่สองรองจากแพทย์ ซึ่งอาจจะจริง แต่อยากเรียนให้สังคมไทยและสังคมโลกได้ทราบว่า การรักษาพยาบาลเรื่องโควิด-19 สำคัญโดยเฉพาะในห้องไอซียู พยาบาลจะต้องดูแลคนไข้กว่า 60% หมอก็สำคัญแต่จะเน้นเรื่องการวินิจฉัยและรักษาพยาบาลต้องนำไปปฏิบัติ จึงขาดพยาบาลไม่ได้
ปัญหาพยาบาลในโลกและของประเทศไทย มีปัจจัยต่อไปนี้
(1) พยาบาลสำคัญมากแต่ถูกมองข้ามไป เดิมไม่ต้องใช้ความรู้มากนัก
แต่ปัจจุบันไม่ใช่ พยาบาลมีความรู้ ทำงานร่วมกับคุณหมอ
(2) ภาพพจน์ การยอมรับของคนในสังคมไทยและโลกของพยาบาลยังต่ำกว่าหมอ ซึ่งอาจจะจริง แต่ต้องปรับความคิดของคนจำนวนมากว่า หมอและพยาบาลต้องทำงานร่วมกันและบทบาทใกล้เคียงกันเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
(3) แรงจูงใจก็น้อยกว่าหมอ และค่านิยมในสังคมก็มองว่า ไม่สำคัญนักซึ่งไม่จริง
สรุปว่า โควิด-19 ครั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศแล้วว่า
พยาบาลในโลกขาดอีก 6 ล้านคน ในประเทศไทย พยาบาลก็ขาดเป็นแสน แต่โควิด-19 ครั้งนี้ทำให้พยาบาลอาจมีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม จึงขอแสดงความชื่นชมพยาบาลไทยและพยาบาลในโลกมา ณ ที่นี้
ฝากสื่อมวลชนสัมภาษณ์และยกย่องพยาบาลผู้กล้าหาญในไทยที่ดูแลเรื่องโควิด-19 มากขึ้น
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี