ท่ามกลางภาวะโรคไวรัสโควิด-19 ระบาดไปทั่วโลกอย่างรุนแรงนั้นก็เกิดมีเสียงกลุ่มคนที่อาจจะอิจฉาบรรดานักการเมืองของไทยขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นบรรดารัฐมนตรี, ที่ปรึกษา, เลขานุการรัฐมนตรี, สส.และสว.ว่าทำไมไม่มีการเสียสละสมทบทุนช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากไวรัสเหมือนภาคเอกชนเขาบ้างโดยคิดไปว่านักการเมืองร่ำรวยซึ่งข้อเท็จจริงแล้วนักการเมืองบ้านเราไม่ได้มีรายได้มากนักหากนำมาเปรียบเทียบกับบรรดาประเทศต่างๆที่จริงดูจะน้อยไปเสียด้วย หากดูหน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเขาทั้งหมด
เริ่มจากนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้น มีรายได้จากเงินเดือนประจำตำแหน่งและเบี้ยประชุมเงินเดือนอยู่ที่ 77,990 บาท เงินตำแหน่ง 50,000 บาทเบี้ยประชุมกรรมการเดือนละ 10,000 บาท รวมแล้วประมาณ 131,990 บาทขึ้นไป รองนายกรัฐมนตรีเงินเดือน70,870 บาท เงินตำแหน่ง 45,500 บาท เบี้ยประชุม 10,000 บาท รวม 126,370 บาท รัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเงินเดือน 69,750 บาทเงินตำแหน่ง 42,500 บาท เบี้ยประชุม 10,000 บาท รวม 122,250 บาท รัฐมนตรีช่วยว่าการเงินเดือน 68,620 บาท เงินตำแหน่ง 41,500 บาท เบี้ยประชุม 10,000 บาท รวม 120,120 บาท เงินมากหรือน้อยอยู่ที่เบี้ยประชุมหากเป็นกรรมการหลายคณะบางเดือนอาจจะได้มากแต่ไม่น่าจะเกินเดือนละ 200,000 บาทหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้วเหลือ 160,000 ถึง 170,000 บาทตกปีละ 2 ล้านกว่าบาท
ลองไปเทียบกับเงินเดือนผู้นำต่างประเทศ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ทั้งหมดปีละ 200,000เหรียญสหรัฐ เป็นเงินไทยปีละ 6.5ล้านบาท เฉลี่ยเดือนละ 541,666 บาทนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรได้ทั้งปีราว 90,000 ปอนด์ เป็นเงินบาท3.6 ล้านบาท ประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ปีละ 370,000 ยูโร เป็นเงินบาทไทย13 ล้านบาท ประธานาธิบดีจีนได้เดือนละ 22,000 เหรียญสหรัฐประมาณ 715,000 บาท นายกรัฐมนตรีอินเดียได้ 66,000 เหรียญสหรัฐต่อปีราว 2.145 ล้านบาท นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ปีละ 202,700 เหรียญสหรัฐ ประมาณ 6.59 ล้านบาท
กลับมาดูรายได้และเงินเดือนของไทยสำหรับประธานกรรมการธนาคารเอกชนรายใหญ่ หรือว่ากรรมการผู้จัดการใหญ่รวมกับเงินโบนัสและเบี้ยประชุมนั้นประเมินว่าจะได้คนละ 10 ถึง 15 ล้านบาทต่อปีในขณะที่รัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ ของรัฐที่มีกำไรมากๆ ผู้บริหารหรือว่า ซีอีโอจะได้เงินเดือนและโบนัสรวมเบี้ยประชุมเฉลี่ยเดือนละ 2 ถึง 2.4 ล้านบาท ก็มี เงินเดือนของกรรมการผู้จัดการใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ1 ล้านบาท เงินเดือนของผู้อำนวยการฝ่ายจะได้เดือนละประมาณ 200,000 บาท ผู้จัดการฝ่ายเดือนละ 150,000 บาทขึ้นไป
ถ้าเปรียบเทียบกับรายได้ของนักการเมืองพื้นฐานของไทยคือบรรดาสมาชิกวุฒิสภา (สว.)และบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นั้นจะเท่ากันประกอบด้วย เงินเดือน เดือนละ 71,230 บาท เงินตำแหน่งเดือนละ 42,330 บาทรวมแล้ว 113,560 บาท กับเบี้ยประชุมคณะกรรมาธิการและเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมาธิการครั้งละ 7,000 ถึง 10,000 บาทต่อเดือน กับเงินเดือน
ที่จะให้ผู้ที่ทำงานช่วยสว.และสส.อีกคนละ 8 ตำแหน่ง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญของสมาชิก 1 คนได้เงินเดือนละ 20,000 บาท ที่ปรีกษาของสมาชิก 1 คน ได้เงินเดือน เดือนละ 15,000 บาท
นักวิชาการประจำสมาชิก 1 คน ได้เดือนละ 12,000 บาท ผู้ปฏิบัติงานให้สมาชิกอีก 5 คนได้เงินเดือน เดือนละ 10,000 บาท รวม 50,000 บาทเป็นยอดเงินให้สมาชิกอีกเดือนละ 97,000 บาท
ในขณะที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภาจะได้เงินเดือน เดือนละ 75,590 บาท เงินเพิ่มเดือนละ 50,000 บาท รวม 125,590 บาท รองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้เดือนละ 73,240 บาท เงินเพิ่มเดือนละ 42,500 บาท รวมทั้งสิ้น 115,740 บาทผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรได้เงินเดือนเดือนละ 73,240 บาท เงินเพิ่มเดือนละ42,500 บาท รวม 115,740 บาท ประธานวุฒิสภาได้เดือนละ 74,420 บาท เงินเพิ่มเดือนละ 45,500 บาท รวม 119,920 บาทรองประธานวุฒิสภาได้เดือนละ 73,240 บาทเงินเพิ่มเดือนละ 42,500 บาท รวมเดือนละ115,740 บาท
จากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารในภาครัฐสภาทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภานั้นปรากฏว่าท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร นายชวน หลีกภัย ได้เผยว่า สภาผู้แทนราษฎรไม่มีการบังคับหรือจะไม่ไปหักเงินเดือนสส. เด็ดขาดเพราะฐานะและรายได้ของ สส.แต่ละคนไม่เท่าเทียมกัน ใครจะบริจาคช่วยเรื่องไวรัสโควิด-19 เท่าใดนั้นให้เป็นไปตามความสมัครใจเสียสละของ สส.แต่ละคนส่วนทางด้านนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาได้เคยให้สัมภาษณ์ว่าอนาถจะให้สว.บริจาคคนละ 50,000 บาท
ซึ่งเรื่องนี้มีสมาชิกวุฒิสภาหลายๆ คนให้ทัศนะแตกต่างกันไปเพราะฐานะของวุฒิสมาชิก วุฒิสภาแต่ละคนก็ไม่เท่าเทียมกันบางท่านเป็นอดีตข้าราชการประจำ เคยมีตำแหน่งสูงได้รับบำนาญในฐานะข้าราชการมากก็ไม่เดือดร้อน แต่สมาชิกวุฒิสภาบางท่านมาจากเกษตรกรชาวไร่ชาวนาไม่ได้มาจากนักธุรกิจย่อมมีรายได้ไม่มากนักบางคนมีฐานะการเงินไม่ดีก็มีการจะให้บริจาคเงินมากๆ นั้นก็เป็นไปไม่ได้ ซึ่งในที่สุดน่าจะเดินสายกลางคือแล้วแต่ความสมัครใจของแต่ละคนน่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมมากที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี