ผ่านมากว่า 5 เดือนแล้ว โลกและประเทศไทยยังต้องสู้และปรับตัวกับ COVID-19 ต่อไป
ขอบอกไว้เลยว่า COVID-19 จะอยู่กับเราอีกนานแม้ไทยจะดีขึ้น ถ้าประเทศอื่นๆ ยังมีปัญหาอยู่จะกระทบสังคม เศรษฐกิจของไทยไปอีกนาน เพราะไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวจากต่างประเทศและการส่งออกจึงต้องมองระยะยาว ไม่ใช่แค่เลิก มองแค่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือแค่มีแรงกดดันจากกลุ่มนักศึกษาเท่านั้น
นี่เพียงส่วนหนึ่งของปัญหา แต่ปัญหาหลักของประเทศคือ จะใช้วิกฤติครั้งนี้ให้เป็นโอกาสได้อย่างไรขอวิงวอนให้คนไทยทุกคน มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาดังที่ท่านนายกฯประยุทธ์ ขอให้รวมไทยสร้างชาติ ไม่ใช่การพูดอย่างเดียว ควรจะทำเป็นตัวอย่างด้วย
สัปดาห์นี้ ผมเลือกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เรียกว่า 3 เรื่องเศร้า และ 3 เรื่องความหวัง มาวิเคราะห์เพื่อเป็นบทเรียนทั้ง 3 เรื่อง
น่าภูมิใจที่ประเทศไทยของเราเป็นประเทศเดียวไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของต่างประเทศ คนไทยจึงต้องปลูกฝังรู้จักรากเหง้าของตัวเอง ต้องสนใจประวัติศาสตร์เรื่องของอดีตของชาติให้มากว่า ประเทศเรารอดจากจักรวรรดินิยมได้อย่างไร ประเทศอื่นแถบเดียวกันไม่รอดสักราย
วันนี้ผมจึงยกตัวอย่างเรื่องเศร้า 3 เรื่อง เรื่องดี 3 เรื่องซ้อนกัน ในช่วงวิกฤติที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างโอกาสและคิดร่วมกัน
ผมเขียนเป็นการจับคู่กัน มีเศร้าในเรื่องไม่ดีและมีเรื่องดีๆ ประกอบกันไป จะยกตัวอย่างแค่ 3 เรื่องใหญ่
เรื่องเศร้าเรื่องแรกคือข่าววัยรุ่น ที่หนังสือพิมพ์ใช้คำว่าโจ๋เถื่อนบุกโรงพยาบาลทำร้ายหมอ พังข้าวของและชกต่อยหมอผู้หญิง ทำร้ายพยาบาลผู้หญิงหลายคนและอีกเรื่องหนึ่งคือ มีการประท้วงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยโดยใช้คำหยาบและจาบจ้วงสถาบันฯ ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง
สาเหตุของความเศร้าคือ สังคมปัจจุบันขาดวินัยพ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลลูกเพื่อปลูกฝังจริยธรรมความดีต่างๆ อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งมาจากสังคมที่ไม่เห็นค่าของคนในเรื่องคนดี ความไม่มีมารยาท ไม่รู้อะไรถูกอะไรผิด มีค่านิยมทางวัตถุต่างๆ ขาดวินัย ขาดความคิดที่ดีๆ ยังมีเสรีภาพในการใช้คำหยาบต่างๆในสื่อออนไลน์มากมาย
หลักสูตรในโรงเรียนไม่สนใจที่จะสอนเรื่องวินัย ศีลธรรม ครูมุ่งเฉพาะสาระและการมีชีวิต มีเกียรติ ในความสบายๆ ครูต้องมีรถมีบ้าน มีหนี้สินมากมาย หนี้ครูมีมากที่สุดในบรรดาข้าราชการ แล้วจะสอนเด็กได้อย่างไร
กระทรวงศึกษาฯของเราเน้นการวัดผลให้นักเรียนและนักศึกษาที่มุ่งหาวิชาการมากไป ครูไม่เป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตอย่างมีสมดุล พอประมาณและเดินสายกลางและครอบครัวที่บ้านก็ล้มเหลว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ทรงเน้นเรื่อง บวร คือ บ้าน วัดและโรงเรียน แต่ไม่มีใครสนใจ บิ๊กตู่ยุคแรกๆ เขียนกฎความดี 12 ข้อ แต่ผ่านไปสักพักไม่สนใจอย่างจริงจัง
แต่ในข่าวร้ายดังกล่าวก็ยังมีข่าวดี คือวินัยของคนไทยการระวังป้องกันรักษาไวรัสตัวร้ายต้องยอมรับว่าในช่วงแรก ที่มีข่าวการติดโรคจากสนามมวยหรือผับแถวทองหล่อ คิดว่าคนไทยจะขาดวินัยมากมาย ถ้าปล่อยไปเราอาจจะติดเชื้อรุนแรงตามประเทศอื่นๆ แต่เมื่อข่าวออกไปทำให้คนไทยมีวินัยป้องกันตัวได้ดีมาก ปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด เป็นที่ชื่นชมของต่างประเทศ ล่าสุดหนังสือพิมพ์ New YorkTimes ลงบทความเรื่องความสำเร็จของคนไทยเรื่อง COVID-19
การมีวินัยในการระวังป้องกันโรคอย่างเคร่งครัดโดยการใช้หน้ากาก การล้างมือหรือเว้นระยะห่างทางสังคม เกือบ 100% ต้องยอมรับว่าทำได้ดี และขอชมเชยตัวเลขผู้ติดเชื้อก็ลดลง การกักตัว 14 วันไม่มีคนไทยแสดงความไม่พอใจ ที่คนไทยควรคิดต่อ นอกจากวินัยทางการแพทย์จะเพิ่มวินัยในด้านอื่นๆอีกได้หรือไม่ เช่น วินัยการออม วินัยในการไม่อวดรวยหรือวินัยของวัยรุ่นที่กตัญญูต่อพ่อแม่ และรักบ้านเกิดของตัวเองหรือรู้จักรักษากฎหมาย เป็นต้น
ผมหวังว่าพ่อ แม่ ครู มูลนิธิฯเพื่อสังคมกระทรวงศึกษาฯ โรงเรียนหรือหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาคเอกชน ประชาสังคมและภาครัฐจะช่วยให้มีความสำเร็จในการแพทย์แล้วยังไปสู่ความสำเร็จในด้านอื่นๆ ด้วย เพราะถ้าคนไทยมีแรงกดดันทำได้เสมอ
ผมหวังว่าช่วยกันก่อให้เกิดค่านิยมใหม่ๆ เมื่อมีวินัยในการรักษาอนามัย เรื่องโรคระบาดน่าจะมีวินัยในด้านคุณสมบัติของคนดีมีมารยาทที่ดี เคารพผู้ใหญ่ ไม่แสดงความก้าวร้าวอย่างเรื่องวัยรุ่นตีกันที่โรงพยาบาลหรือใช้คำหยาบประท้วงรัฐบาลที่ระยอง
ข่าวเศร้าอีกเรื่องหนึ่ง คือการที่มีนักการเมืองจำนวนหนึ่งพยายามที่จะใช้การเมืองน้ำเน่าเพื่อต้องการตำแหน่ง โดยเอาจำนวน สส.ที่มีอยู่ ผลักดันให้ได้ตำแหน่งรัฐมนตรี กระทรวงที่มีผลประโยชน์เล่นการเมืองแบบน้ำเน่า เช่น การแย่งชิงตำแหน่งพรรคพลังประชารัฐ เก้าอี้รัฐมนตรีฉันใครอย่าแตะ ไม่ได้คิดเพื่อผลประโยชน์ของชาติ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ เป็นช่วงตกต่ำที่สุด ต้องการมืออาชีพมากกว่าโควตาของพรรคเท่านั้น
ข่าวดีที่ยังมีสื่อดีๆกล้าแสดงออกว่า ช่วงนี้ต้องระมัดระวังเพราะประเทศกำลังต้องการมืออาชีพทางเศรษฐกิจ แก้ปัญหา NPL มากขึ้น ปัญหาคนตกงานปัญหาการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปีนี้ จะทำอย่างไรและปัญหางบประมาณขาดดุล เช่น หนี้นอกระบบจะแก้อย่างไร คนไทยควรจะหาคนมีฝีมือที่สังคมยอมรับมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงในช่วง 2 ปีข้างหน้า
ข่าวดีอีกด้านหนึ่งคือ จุดยืนของบิ๊กตู่ที่บอกว่าการปรับ ครม.เป็นหน้าที่ของท่าน โชคดีที่ท่านแยกตัวมาจากการเมือง แต่ก็ไม่วายที่ถูกการเมืองระดับพรรคต่อต้านโดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์ของคุณไพบูลย์ นิติตะวัน ที่บอกว่าพรรคต้องมาก่อนประเทศซึ่งไม่ควรในช่วงวิกฤตินี้เพราะสังคมต้องการคนดีมีความสามารถมาแก้ปัญหา
ตัวอย่างที่ดีคือ จปร.รุ่นพี่อย่างป๋าเปรมที่อยู่ได้8 ปี เพราะความดี ไม่ใช่เพราะเรื่องในสภาเท่านั้น บิ๊กตู่ต้องสร้างอำนาจการต่อรองจากความดีกับกลุ่มที่มีอิทธิพล ควรออกมาให้กำลังใจนายกฯตู่กันบ้าง มีสื่อดีๆโจมตีนักการเมืองน้ำเน่า นายกฯตู่ต้องห้อมล้อมด้วยคนดีๆ ไม่ว่าในระดับการเมืองหรือระดับมืออาชีพ ไม่ใช่คะแนน สส.ในพรรคเท่านั้น ประเทศจึงจะอยู่รอด ผมจึงขอกำลังใจให้บิ๊กตู่มองผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
ประเด็นที่ 3 เรื่องเศร้าคือรายได้จากการท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงนี้และอนาคตซึ่งขึ้นมาติดต่อกันถึง 10 ปี ประมาณ 2 ล้านล้านบาท เกือบ 20% ของ GDP ลดลงไปมาก ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก คนตกงานมากมาย
แต่ในทางกลับกันเป็นช่วงที่ธรรมชาติทั้งทะเลหรือป่าไม้ดีขึ้นโดยธรรมชาติ คือมีคนไปใช้น้อยลง สัตว์ต่างๆ ปะการังกลับสดใสขึ้น ถือเป็นข่าวดี แต่ข่าวดีมาที่หลังคือคนไทยกว่า 10 ล้านคน เคยใช้เงินท่องเที่ยวต่างประเทศปีหนึ่งกว่า 340,000 ล้านบาทกลับมาเที่ยวในประเทศมากขึ้น ทำให้พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างประเทศน้อยลง การท่องเที่ยวในประเทศได้รับการกระตุ้นมากขึ้น มีการไปท่องเที่ยวชุมชนมากขึ้น
ก็ถือว่าข่าวดีในข่าวร้าย 3 เรื่อง
2 วัยรุ่นที่ระยองถือป้ายประท้วง นายกรัฐมนตรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี