ปี 2020 เป็นปีที่หนักสำหรับโลกจริงๆ เพราะนอกจากการเผชิญไวรัสโคโรนาทั่วทุกประเทศแล้ว ล่าสุดก็เกิดเหตุระเบิดที่กรุงเบรุต เลบานอน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมายและทำลายทรัพย์สินไปมหาศาล ที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นการก่อวินาศกรรมหรืออุบัติเหตุจริงๆ เพราะการเมืองระหว่างประเทศที่ร้อนแรงในภูมิภาคก็ไม่อาจที่จะทิ้งประเด็นนี้ได้ เช่นเดียวกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่นับวันจะรุนแรงขึ้นและเริ่มมีการวิเคราะห์แล้วว่าอาจปะทุใหญ่ในปีนี้ด้วยเช่นกัน
ขณะที่ประเทศไทยที่ประคองสถานการณ์การควบคุมการแพร่เชื้อโควิดได้ดี แต่อาจกำลังเตรียมเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศยิ่งกว่าปี’40 เหตุจากผลกระทบจากโควิดทั่วโลกทำให้เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศตกต่ำถึงขีดสุด และกำลังลามมาภายในประเทศไม่เกินปีนี้
ขณะที่โลกกำลังเผชิญว่าภาวะวิกฤติทางสาธารณสุขและกำลังเตรียมรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังมาถึงจากการคำนวณระยะเวลาการฉีดวัคซีนที่ยังไม่ใช่เร็ววันนี้ ในประเทศไทยเองสิ่งที่เรากำลังเผชิญหนักกลับคือความขัดแย้งทางการเมืองของคนเห็นต่างในทุกกลุ่มแนวคิด จนอาจกำลังถูกมองว่ากำลังดึงเรื่องทุกเรื่องในสังคมมาเป็นประเด็นทางการเมืองหรือไม่? เริ่มตั้งแต่ความกังวลในการแพร่ระบาดโควิดรอบสองจากกรณีชาวต่างชาติสองคนที่เข้าประเทศมาในเดือนก่อนแล้วไม่ได้อยู่ในสถานที่กักตัวของรัฐอันเนื่องจากข้อตกลงระหว่างประเทศประจวบกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกมองว่าหละหลวมในการควบคุมติดตามจนกลายเป็นประเด็นการตอบสนองของรัฐต่อประชาชนและชาวต่างชาติที่ต่างกัน จนนำไปสู่การปลุกกระแสในโซเชียลมีเดียของคนรุ่นใหม่และสื่อออนไลน์ ในการต่อต้านการบริหารงานของรัฐบาลมากขึ้น
ขณะที่ปัญหาที่ทั่วโลกเผชิญและรัฐบาลทั่วโลกกำลังกังวลก็คือ ปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคืองจากการปิดประเทศในช่วงวิกฤติโควิดนี้ และอาจจะลามเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ ในปลายปีนี้ได้
ซึ่งหลายคนยกไปเปรียบเทียบกับ วิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2540 ว่าครั้งนี้ก็อาจหนักไม่แพ้กัน หรืออาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งนั่นผู้ที่ได้รับผลกระทบคือ คนรวยที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่กลุ่มเกษตรกร กลุ่มแม่ค้าทั่วไประดับกลางและล่างยังขายได้จะมีผลกระทบจากคนระดับกลางและล่างบ้างก็คือจากการปิดตัวของธุรกิจและคนตกงานแต่สุดท้ายพบว่าธุรกิจไม่ได้ปิดมากนักแต่เปลี่ยนเจ้าของเป็นชาวต่างชาติเสียส่วนใหญ่ นั่นเพราะการค้าระหว่างประเทศช่วยไว้ แต่ในช่วงวิกฤติไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ ไวรัสนอกจากทำลายปอดแล้วยังทำลายระบบเศรษฐกิจทุกประเทศทั่วโลกด้วย จึงไม่สามารถนำเอาการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศมาช่วยพยุงเศรษฐกิจในประเทศได้
ทุกคนได้รับผลกระทบหมดทั้งคนจน คนชนชั้นกลาง และคนรวย โดยเฉพาะคนจนหรือผู้มีรายได้น้อยอาจได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะไม่มีเงินสำรองให้ใช้ในช่วงที่ไม่มีรายได้ โครงการเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ 5,000 บาท จำนวน 3 เดือน ที่เป็นโครงการช่วยเหลืออาจช่วยได้เพียงเวลาสั้นๆ เท่านั้น หากต้องการช่วยเหลือประชาชนอย่างยั่งยืนและทั่วถึงรัฐบาลต้องเร่งหาทางออก ก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม
โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย SMEs ที่มีอยู่ประมาณ 3 ล้านราย สร้างการจ้างงานอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านราย ซึ่งถือว่าเป็นประชากรกลุ่มสำคัญที่ได้รับผลกระทบโดยตรงถ้าเกิดกลุ่มนี้ล้มขึ้นมาอาจจะนำไปสู่การพังครืนลงมาของเศรษฐกิจประเทศ และปัญหาอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องแนวโน้มที่คนไทยจะเสี่ยงตกงานในอนาคตอันใกล้นี้สูงถึง 8.4 ล้านคน นอกจากนี้ยังรวมถึงกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ราว 5.4 แสนคน ที่คาดว่ามีแนวโน้มที่จะหางานได้ยากขึ้นโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ถ้าปล่อยว่างงาน 1-2 ปี อาจจะมีโอกาสตกงานถาวรเพราะส่วนหนึ่งเป็นการเรียนจบที่ไม่ตรงกับความต้องการนายจ้าง บวกกับผลกระทบของเชื้อไวรัสที่ทำให้ตลาดงานปิดตัวลงหรือต้องปรับตัวลดต้นทุนด้วยการลดพนักงาน สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่รัฐต้องไปร่วมกันเตรียมการรับมือหาทางออก ไม่ใช่การจัดหรือปรับเก้าอี้ครม.ใหม่
อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องโควิดแล้ว รัฐบาลนี้ก็ยังเผชิญวิกฤติที่กำลังกลายมาเป็นวิกฤติการเมืองอีกเรื่องต่อมาเลยในตอนนี้ก็คือ วิกฤติศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม
เรื่องนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการล้มรัฐบาลมาแล้วหลายครั้งเพราะความไม่ยุติธรรมในสังคมเป็นเชื้อไฟที่จุดติดในใจของประชาชนง่าย และแม้ว่าฝ่ายตุลาการของประเทศไทยนั้นได้รับอำนาจให้ทำงานเป็นอิสระ รัฐบาลไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงการทำงานได้ แต่ในทางการเมืองก็ต้องยอมรับว่ายากที่จะรอดจากการถูกเชื่อมโยงในเรื่องอำนาจ กับระบบราชการ
โดยปัญหาครั้งนี้คือกรณี อันเกี่ยวเนื่องของคดีอุบัติเหตุรถชน ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต ซึ่งคดีนี้กำลังเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจ เพราะคดีมีความยืดเยื้อมานาน และยังไม่มีการดำเนินคดีทางกฎหมายเนื่องจากสถานะของผู้ต้องหา อยู่ระหว่างการหลบหนีคดี ถึงแม้ว่าผู้เสียหายจะได้รับค่าสินไหมทดแทนไปแล้วและมีการกล่าวอ้างว่าครอบครัวไม่ติดใจกับสาเหตุการตาย แต่หลายฝ่ายก็วิจารณ์ว่านั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่จะยุติการดำเนินคดี เพราะว่าคดีนี้เป็นอาญา การประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเป็นอาญาแผ่นดิน การชดเชยเป็นการบันเทาผลกระทบต่อครอบครัวผู้เสียหายเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ยังถูกโยงต่อไปอีกว่าการหลุดคดีของผู้ต้องหา เป็นผลมาจากการใช้อำนาจเอื้อกันของชนชั้นนำหรือไม่ เพราะมีการใช้กรรมาธิการกฎหมายยุค สนช. ซึ่งมีน้องชายพล.อ.ประวิตร เป็นกรรมาธิการ รื้อคดีสอบเองจนถูกตั้งคำถามว่ากลายเป็นจุดเปลี่ยนของคดีหรือไม่?
เรื่องนี้แม้จะบอกว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นอิสระต่ออำนาจรัฐ แต่รัฐบาลคงไม่สามารถนิ่งเฉยได้ เพราะเรื่องนี้กำลังจะกลายเป็นประเด็นทางการเมือง หากไม่รีบดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งจะยิ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม และยังจะเป็นเหตุให้ผู้เห็นต่างทางการเมืองหยิบยกมาเป็นประเด็นโจมตีได้ และวิกฤติศรัทธาต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมกำลังจะกลายมาเป็นวิกฤติทางการเมือง
ซึ่งตอนนี้ก็ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเฉพาะกิจและกำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบโดยมีนายวิชา มหาคุณเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา จึงต้องติดตามต่อว่าคณะกรรมการดังกล่าวจะสามารถนำความเป็นธรรมและความเชื่อมั่นของประชาชนกลับมาได้หรือไม่ แต่จริงๆ ก็นับว่ายังมีโอกาสในเรื่องนี้โดยรัฐบาลต้องเดินหน้าชนปัญหาอย่างไม่หลบอีกต่อไป แม้การทำงานในกระบวนการยุติธรรมจะเป็นอิสระแต่รัฐอาจใช้โอกาสนี้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมหรือที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างกลไกความเป็นธรรมที่แท้จริงและพัฒนาระบบให้สอดคล้องกับยุคสมัย ก็อาจกู้คืนศรัทธาจากประชาชนให้กลับมาทั้งเรื่องกระบวนการยุติธรรมและความเชื่อมั่นในรัฐบาล
นายกฯประยุทธ์เดินสายพบสื่อในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์กระแสหลักและสื่อออนไลน์แบบไม่เลือกค่ายหรือประเภท ในทิศทางแบบนี้ ไม่เคยทำมาก่อน และไปด้วยตนเองแบบนัดหมายล่วงหน้าไม่นาน และล่าสุดก็มีโปรแกรมจะไปพบกลุ่มเยาวชน นิสิต นักศึกษา นักเรียน กลุ่มต่างๆ ทั้งเห็นต่างและกลุ่มที่ไม่ใช่การเมือง ก็ไม่รู้ว่าใครช่วยคิดให้หรือไม่?
แต่นับว่าเป็นสิ่งหรือแนวคิดที่น่าสนใจ และเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เพราะอาจทำให้ได้เกิดความเข้าใจกัน สื่อเองโดยเฉพาะสื่อรุ่นใหม่ที่เชื่อว่าช่องว่างระหว่างวัยมีผลต่อความคิด เช่นเดียวกับเยาวชนนักศึกษาที่กำลังถูกสื่อปลูกฝังในเรื่องความแตกต่างทางความคิดเหล่านี้เมื่อมีโอกาสได้พบนายกฯจริงๆ สิ่งที่คาใจก็จะได้คำตอบ แต่นั่นก็ขึ้นกับการตอบและและการยอมรับจริงๆ ของนายกรัฐมนตรีด้วย ว่าจะสามารถเปิดใจรับฟังได้แค่ไหน และจะสามารถตอบคำถามสื่อสมัยใหม่และกลุ่มเยาวชนได้แค่ไหน อีกด้านที่ดีแน่นอนคือการทำให้ผู้นำประเทศได้มารับฟังความคิดของกลุ่มคนรุ่นใหม่รวมถึงแนวคิดการสื่อสารของสื่อสมัยใหม่ ว่าเหตุใดเขาคิดหรือมุมมองแบบใดจึงสื่อสารมาแบบนี้ โดยปกติเราจะเห็นหรือมองไปว่าพล.อ.ประยุทธ์จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับปัญหาทางเมืองมากนักเมื่อเทียบกับบทบาทในการบริหารประเทศ แต่ในช่วงหลังที่ดูเหมือนนายกฯจะปรับเปลี่ยนกลวิธีมาเป็นการเดินชนปัญหาการเมือง ซึ่งอาจเป็นแนวทางที่ดีก็ได้......
“เหตุการณ์ในโลกคล้ายเกมหมากรุก แปรปรวนสุดหยั่ง มีผู้ใดคาดคำนวณชะตากรรมวันพรุ่งนี้ได้”
โกวเล้ง เรื่องมังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี