ในแวดวงวิชาการด้านรัฐศาสตร์ต่างมีความคิดเห็นในทำนองเดียวกันว่า Holders of Public Office ผู้มีตำแหน่ง อำนาจ หน้าที่ความรับผิดชอบในองค์กร หรือสถาบันสาธารณะ หรือนัยหนึ่งในองค์กรแห่งรัฐต่างๆ จะเป็นทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ หรือจะเป็นในระดับส่วนกลาง และในระดับท้องถิ่นต่างๆ จะสามารถยืนอยู่ได้อย่างสง่างามได้ ก็จะต้องทำตัวให้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจ ได้รับศรัทธา และความเคารพน่าเชื่อถือ ซึ่งศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า Public Trust
ฉะนั้น ก็ต้องบอกว่า Public Office กับ Public Trust เป็นของคู่แฝดกัน เพราะผู้มีตำแหน่งอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในองค์กรสาธารณะ หรือรัฐ จะต้องทำตัวให้เป็นที่ไว้วางใจ น่าเชื่อถือ ควรแก่การเคารพ นอกจากนั้น ทั้งสองสิ่งยังจะต้องเป็นของคู่บ้านคู่เมือง แยกหรือตัดขาดออกจากกันมิได้
การที่ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ จะได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนพลเมือง ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนด้วยชอบ ทั้งด้วยตัวกฎหมายและด้วยหลักธรรม หรือนัยหนึ่งต้องอยู่ในกรอบของนิติรัฐ และนิติธรรม และจักต้องทำงานการ เพื่อความดีงาม ความผาสุก และความเจริญก้าวหน้าของส่วนรวม (The Public or Common Good)
ที่ผ่านมา ประเด็นปัญหาของบ้านเมืองต่างๆ ทั่วโลก มักจะเกิดขึ้นจากเหตุที่ประชาชนไม่ไว้เนื้อเชื่อใจผู้มีตำแหน่งหน้าที่บริหารประเทศ (Distrust) โดยความไม่เชื่อใจ ไม่พึงพอใจ ของสังคม ก็มักจะมาจากการที่ผู้มีตำแหน่งหน้าที่นั้น มิได้มุ่งทำงาน ทำการเพื่อส่วนรวม แต่เพื่อตัวตนเพื่อพวกพ้อง เพื่อพรรคการเมือง เพื่อกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ซึ่งผิดทั้งหลักการ หลักกฎหมาย และหลักธรรม
นอกจากผู้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ไม่ทำการให้ดีงาม ถูกต้องแล้ว บางครั้งยังมีความเลวร้ายเพิ่มเติม นั่นคือการใช้อำนาจโดยมิชอบ ด้วยการข่มขู่ ตามล้างตามเช็ดกลั่นแกล้ง ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้เห็นต่างสังคมก็กลับกลายเป็นอาณาจักรแห่งความหวาดกลัว การบริการสาธารณะ (Public Service) ในกรอบการครองตำแหน่ง (Public Office) เพื่อความเจริญของสาธารณะ(Public Good) และเพื่อเสริมสร้างความเชื่อใจสาธารณะ (Public Trust) ก็กลับกลายมาเป็นสังคมแห่งความหวาดกลัว (PublicFear) หรือนัยหนึ่งให้อยู่กันได้ภายใต้ความหวาดกลัว โดยมุ่งหวังว่าจะควบคุมประชาชนพลเมืองได้ให้อยู่มือ
และด้วยความที่มนุษย์ต่างต้องการความเป็นอิสระเสรี ไม่ต้องการถูกกดขี่ และต้องการมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ผู้บริหารประเทศทำการเพื่อส่วนรวม และได้รับความไว้วางใจ ส่งผลให้เกิดการต่อสู้ดิ้นรนตามธรรมชาติ ไปจนถึงการต่อต้านรัฐ ต่อต้านอำนาจที่ไม่ยุติธรรม
สังคมไทย ณ วันนี้ ก็เห็นว่า นอกจากผู้บริหารบ้านเมืองจะทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังเรื่องเรียกร้องจากคนในสังคม แล้วยังมุ่งใช้อำนาจ และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุมความไม่พอใจในสังคม ก่อให้เกิดความบีบคั้น โดยอาจลืมไปว่า จิตใจมนุษย์นั้นไม่มีอะไรสามารถขวางกั้นได้ เมื่อทนไม่ไหว มันจะปะทุขึ้นเป็นระเบิดอย่างรุนแรง
ก็ขอให้ Holders of Public Office ได้รีบถอดชนวนความไม่พอใจของสังคมกันเสียแต่นี้ เริ่มจากการลดราวาศอก คลายความยึดมั่นถือมั่น คลายความหลงตัวในอำนาจวาสนา และหันหน้ากลับมารับใช้สังคม และประชาชนพลเมือง การนี้ Public Trust ก็จะได้ค่อยก่อตัวกลับคืนมาอีกครั้ง สังคมจะได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสงบสุข
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี