การชุมนุม “19 กันยาทวงคืนอำนาจราษฎร” ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จบลงไปในเช้าวันที่ 20 ก่อนจะแยกย้าย พร้อมกับคดีที่ติดตัวแกนนำแต่ละคน ก่อนจะแยกย้ายได้มีการปักหมุดคณะราษฎร 2563 ลงบนพื้นสนามหลวง และได้มีการยื่นหนังสือ 10 ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบัน ผ่านไปยังองคมนตรี ซึ่งทำให้ดูเหมือนการชุมนุมครั้งนี้ดูแตกต่างไป แต่ในความเป็นจริง อาจไม่ต่างจากสมัยการชุมนุมเสื้อแดง โดยเฉพาะการส่งสารจากอดีตนายกฯทักษิณในวันนั้นพอดิบพอดี
ถึงแม้ว่าแกนนำจะออกมาพูดว่าการชุมนุมครั้งที่ผ่านมานี้ ได้รับชัยชนะและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่ไม่แน่ใจว่าความเป็นจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่? หรือตกลงแล้วความสำเร็จที่ว่าเป็นความสำเร็จของกลุ่มเยาวชนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาประเทศ หรือเป็นความสำเร็จของกลุ่มการเมืองกลุ่มใด?
หากวัดจากจำนวนผู้ชุมนุม แม้ว่าทางแกนนำจะอ้างว่ามีคนมาร่วมชุมนุมเป็นแสนคน แต่เอาเข้าจริง รายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศบางสำนักก็รายงานว่า อยู่ในระดับ 2-5 หมื่นคน
อย่างไรก็ตามจำนวนมากไม่ได้เป็นสาระเสมอไปเพราะเมื่อครั้งที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีคนประมาณ 1-2 หมื่นคน ก็ถือว่าสร้างแรงกระเพื่อมได้อย่างมากเพราะครั้งนั้นนับเป็นการชุมนุมที่ขับเคลื่อนโดยเยาวชนและมีเยาวชนเข้าร่วมเป็นส่วนใหญ่ และเนื้อหาจุดยืนมีความน่าสนใจ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าผู้เข้าร่วมชุมนุมที่เป็นฐานหลักอาจไม่ใช่กลุ่มวันที่ 16 สิงหาคมหรือไม่ ซึ่งแน่นอนกระทบต่อภาพและจุดยืนของการชุมนุมต่อสายตาประชาชนว่ากำลังเดินไปทิศทางใดและเพื่ออะไร?
หากวัดที่เนื้อหาหรือแกนนำ ซึ่งถือเป็นผู้ส่งสาร ครั้งนี้ถึงแม้ผู้ปราศรัยบนเวที และผู้ออกหน้าในการให้ข่าวต่อสื่อมวลชน จะเป็นเยาวชนก็จริงแต่ ผู้มีบทบาทจริงๆดูเหมือน อาจไม่ได้สอดคล้องกับการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนัก และยังพบการกลับเข้ามาของแกนนำรุ่นใหญ่ของสายแดงบางคน ขณะที่การนำเสนอเนื้อหาเป็นคนละรูปแบบกับเวทีที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และแม้จะมีแกนนำที่พอคุ้นหน้าคุ้นตามาอยู่บ้าง แต่แกนนำบางคนก็มีสายสัมพันธ์บางอย่างกับพรรคการเมืองบางพรรคหรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้นแล้วการรวมตัวของกลุ่มผู้ชุมนุมในครั้งนี้กำลังจะนำเราไปสู่คำตอบอะไรบางอย่าง? และเนื้อหาที่สื่อสารในการชุมนุมจะนำไปสู่เป้าหมายอะไร?
อย่างไรก็ตาม ในวันเสาร์ที่ผ่านมาก่อนการชุมนุมจะเริ่มขึ้น ก็ปรากฏข่าวของอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ที่มีความผูกพันกับวันที่ 19 กันยายน หรือวันที่เขาโดนรัฐประหารเมื่อ 14 ปีที่แล้ว โดยเจ้าตัวได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวว่า “วันนี้เป็นวันครบรอบ 14 ปีของรัฐประหาร ขณะผมมาประชุมสหประชาชาติ 19 ก.ย. 2549 ผมขอฝากคำถามคำเดียวครับ ว่า 14 ปีมานี้ ชีวิตคนไทยโดยรวมๆ
เป็นไงบ้าง ประเทศไทยในสายตาโลกเป็นไงบ้าง...ถึงเวลาแล้วหรือยัง...” เอาเข้าจริงการออกมาโพสต์เช่นนี้ในวันนี้มีนัยทางการเมืองอะไรหรือไม่?
เหตุใดแกนนำจึงเลือกเอาวันรัฐประหาร อดีตนายกฯทักษิณ เป็นวันชุมนุมใหญ่ แล้วต่อด้วยการปักหมุดคณะราษฎร 2 ?เอาเข้าจริงหมุดคณะราษฎร 2 ที่ผู้ชุมนุมต้องการสื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ในการเรียกร้องประชาธิปไตยดังเช่นในปี พ.ศ.2475 อาจกลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับความต้องการเดิมของคณะราษฎรหรือไม่? การปักหมุดในปัจจุบันดูเหมือนจะเป็นการเดินย้อนกลับไปในอดีตเสียมากกว่าเดินไปข้างหน้า ที่มากกว่านั้นคือเลยเถิดไปถึงการนำเสนอบางอย่างอันเกี่ยวเนื่องถึงสถาบันหลักของชาติเพื่อหวังผลบางอย่างทางการเมืองหรือไม่?
และเหตุใดรอบนี้จึงพบกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเป็นส่วนมาก?และเหตุใดเนื้อหาในการชุมนุมจึงมุ่งไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญและ การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ? ตลอดช่วงหลังรัฐประหารอดีตนายกฯทักษิณ 14 ปี ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นและอะไรทำให้เกิดการรัฐประหารทั้งสองครั้ง ?
ตั้งแต่หลังรัฐประหารสองครั้งมา มีคดีทุจริตของนักการเมืองมากมายที่ขึ้นสู่ศาล รวมถึง การทุจริตที่เรียกว่าการทุจริตเชิงนโยบายที่คุณูปการนี้นำไปสู่การศึกษาในแวดวงวิชาการและการออกกฎหมายอันเกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์ทับซ้อน อันมาจากเหตุแห่งการบริหารบ้านเมืองในยุคนั้น อย่างไรก็ตาม ผลของการทุจริตต่างๆของนักการเมืองในยุคนั้นนำมาสู่ผลกระทบสองอย่างในยุค
ถัดมาคือ (1)มูลค่าความเสียหายของประเทศจากการทุจริต (2) การดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด
โดยในตลอดเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการพิจารณาคดีไปหลายคดีแล้ว บางคนบริสุทธิ์ ก็รอดออกมา ขณะที่ผู้กระทำความผิดที่ศาลตัดสินก็ทยอยเข้าคุกและริบทรัพย์สินไป อย่างคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการจำนำข้าวที่ผลกระทบของมันยังส่งผลมาถึงในปัจจุบัน แต่เอาเข้าจริงก็ยังมีเหลืออยู่อีกหลายคดีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของศาล อย่างคดีบ้านเอื้ออาทร ที่ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร และยังมีอีกหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองและยังรอลุ้นผลอยู่ แนวทางอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสิบกว่าปีมานี้จากการผลัดกันขึ้นมาบริหารของฝ่ายการเมืองคือ แนวทางการขอนิรโทษกรรมความผิด แต่เมื่อไม่สำเร็จ จึงต้องถูกดำเนินคดีต่อไป แล้วอะไรจะหยุดหรือช่วยบรรดานักการเมืองเหล่านี้จากคดีได้ ?
ความเปลี่ยนแปลง? คำถามคือ ความเปลี่ยนแปลงของอะไร?
สมมุติว่าเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่บังเอิญสนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรค หรือถูกสนับสนุนโดยบางพรรค หากล้มรัฐบาลได้สำเร็จ จะนำไปสู่อะไรได้บ้าง? และพรรคการเมืองที่สนับสนุนต้องการอะไร?
และหากเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนอดีตนายกฯทักษิณ หากล้มรัฐบาลได้สำเร็จ จะนำไปสู่ข้อเสนออะไร?
คดีต่างๆ ของอดีตนายกฯทักษิณ คดีต่างๆของบรรดานักการเมืองในยุคนั้น และคดีต่างๆของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ หลายคดีที่ศาลยังพิจารณาไม่สิ้นสุด จะเป็นอย่างไรต่อไป? พวกที่หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศมีสิทธิ์ที่จะกลับมาประเทศหรือไม่? และอดีตนายกฯเองจะมีโอกาสในการกลับคืนสู่อำนาจทางการเมืองและทำธุรกิจดังเช่นอดีตหรือไม่?
ในความเป็นจริงก็ไม่มีใครรู้ว่าการชุมนุมเมื่อ 19 กันยายน ที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองไหนหรือไม่ หรือเกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯทักษิณหรือไม่ ?
และผลของการชุมนุมถ้าหากสำเร็จอาจเกี่ยวข้องหรือไม่?
ในส่วนของการชุมนุมในวันที่ 19-20 กันยายนที่ผ่านมารัฐบาลก็สามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองจากกลุ่มผู้ชุมนุมได้ด้วยดี โดยจะสังเกตได้ว่าการชุมนุมในครั้งนี้มีความคล้ายคลึงกับรูปแบบการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ในสมัยปี’53 ช่วงเริ่มต้น โดยมีรูปแบบที่เหมือนกันในลักษณะที่ว่า ผู้ชุมนุมส่วนมากเดินทางมาจากต่างจังหวัด แต่ก็มีชาวกรุงเทพฯบางส่วนเข้าร่วมชุมนุม โดยในช่วงแรกการชุมนุมก็เป็นไปโดยสงบ แต่ระยะต่อไปไม่รู้ว่าจะเหมือนหรือต่าง?
แต่คนกรุงเทพฯที่มีอายุหน่อยจะพอจำภาพการชุมนุมปี’53โดยเฉพาะช่วงท้ายได้เป็นอย่างดี ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกรุงเทพมหานคร
ดูเหมือนสถานการณ์บางอย่างกำลังมาบรรจบบนเส้นทางเดียวกัน อีกครั้งหรือไม่ และแม้ผู้เล่นบางคนก็อาจจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันแต่บทบาทเปลี่ยนไป และบางคนที่เคยเข้าร่วมชุมนุมปี’53 ตามที่ได้ปรากฏในคลิป มาวันนี้ได้เป็นนักการเมืองแล้ว และกำลังขับเคลื่อนข้อเสนอเดียวกับกลุ่มผู้ชุมนุม นั่นคือ (1) ต้องการให้มีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ (2) เปลี่ยนรูปแบบการปกครองประเทศ?
แล้วพรรคการเมืองเสียผลประโยชน์อะไรกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ?
ก็ต้องบอกว่าอาจมีบางพรรคที่เสียประโยชน์จากกติกาเดิม อันมีผลต่อการโหวตเลือกนายกฯในรอบที่ผ่านมา จึงอาจมีความพยายามในการหาข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญนี้ในด้านอื่นๆเพื่อหาเหตุมาสู่การแก้รัฐธรรมนูญในหลายมาตราแต่หนึ่งในนั้นคือ ที่มาของอำนาจ นั่นคือที่มาของการเลือกนายกรัฐมนตรี
แต่ขณะที่การชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมครั้งนี้ได้พ่วงเรื่องรูปแบบการปกครองประเทศเข้าไปอีก จึงทำให้น่าคิดต่อว่าพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องหรือสนับสนุนคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้ เพราะจะส่งผลต่อทิศทางการชุมนุมและผู้เข้าร่วมชุมนุมต่อไปของฝั่งพรรคการเมือง อันจะมีผลต่อน้ำหนักของกลุ่มผู้ชุมนุมที่กำลังเดินยุทธศาสตร์กดดันฝ่ายการเมืองในรัฐสภา
โดยหากเป็นการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงของประเทศ อย่างเรื่องการศึกษา การมีงานทำ ความเท่าเทียม นับว่าน่าสนใจและบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองควรรับฟังเพราะนี่คืออนาคตของพวกเขาและคืออนาคตของประเทศ แต่หากมีกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองเข้ามาร่วมแล้วเลือกดึงแต่ประโยชน์ตามเป้าหมายทางการเมืองของตนเอง จะทำให้ทิศทางการเรียกร้องผิดเพี้ยนไปได้
“ขึ้นชื่อว่าแก้วถึงจะแตกทำลายก็ไม่หายชื่อ เราจะขอทำศึกสงครามด้วยท่านกว่าจะสิ้นชีวิต”
กวนอู สามก๊ก ฉบับ วณิพก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี