19 กันยายน ผ่านไปแล้ว หลายคนคาดเดาว่า จะเกิดความรุนแรง ประยุทธ์จะรอดไหม มีข้อเท็จจริงหลายเรื่องที่ควรจะนำมาพิจารณา
ข้อแรก คนที่คาดจะมาเป็นแสนๆ มีเยาวชน และนักเรียนเป็นหลัก หลายสื่อรวมสื่อต่างประเทศ BBC บอกว่าไม่เกิน 20,000 คน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดมาก
จำนวนเยาวชนและนักศึกษาน้อยมาก เป็นมวลชน เสื้อแดง และผู้ใหญ่จำนวนมาก ถึงแม้ผู้นำยังเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ คุณรุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และเพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ แต่ภาพคล้ายชุมนุมเสื้อแดงในอดีต วัตถุประสงค์อะไร
แนวโน้มของการชุมนุมครั้งต่อไป จะเป็นอย่างไร บทบาทของนักเรียนนักศึกษาจะเป็นอย่างไร คนไทยยังอยากเห็นพลังบริสุทธิ์ทางสร้างสรรค์ กดดันรัฐบาล มีการสนับสนุนจากสังคมระดับหนึ่ง
การดำเนินคดีผู้ชุมนุมวันที่ 19 ต้องดำเนินต่อไป เพราะผิดกฎหมายหลายข้อ เช่น
- บุกรุกเข้าในธรรมศาสตร์ทั้งๆ ที่สั่งปิดมหาวิทยาลัย
- การปักหมุดคล้ายของคณะราษฎรในปี พ.ศ. 2475 ที่สนามหลวง ซึ่งเป็นที่หวงห้าม น่าจะผิดกฎหมาย
ช่วงดึกขึ้นเวทีโจมตีสถาบันรุนแรงและจาบจ้วง ถึงพระองค์ท่านไม่ให้ใช้ ม.112 ก็ยังมี ม.116 น่าจะต้องดำเนินคดี
คงมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะทุกกลุ่มทั้งเสื้อแดง พันธมิตรฯ เสื้อเหลือง กปปส. ทำผิดกฎหมายแล้วต้องดำเนินคดีเท่าเทียมกัน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลประยุทธ์ต้องแก้ปัญหาของประเทศต่อไป ส่วนดี คือรัฐบาลแก้ปัญหา COVID ได้ดียังไม่มีรอบ 2
ผมดีใจที่คุณประยุทธ์ออกมาเตือนผู้ชุมนุมว่า ระวังเรื่อง COVID หลายฝ่ายโจมตีนายกฯประยุทธ์ว่าเอา COVIDมาอ้าง รัฐบาลคัดกรองทุกๆ จุดในการเข้าชุมนุม คำเตือนของประยุทธ์ได้คะแนนนิยมสูง เน้นสุขภาพมาก่อน
แต่เรื่อง COVID ไม่มีใครคาดคะเนได้จะจบอย่างไร ในโลกยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อเมริกาตายเกือบ 200,000 คนแล้ว อินเดีย แออัด ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ระบบสาธารณสุขอินเดีย รับไม่ไหว มีผู้ป่วยกว่า 5 ล้านคน
ประเทศเพื่อนบ้านเรา 2 ประเทศ อินโดนีเซีย กว่า 230,000 คน กับ ฟิลิปปินส์ 270,000 คน และเมียนมาก็เพิ่มขึ้นรวดเร็ว กระทบไทยแน่นอน เพราะติดชายแดนมีการลักลอบมาทำงาน ต้องระวังอย่างมาก
ประเทศอื่นๆ ในโลก ยังไม่ดีขึ้น ต้องดูว่าปี 2564 จะมีวัคซีนมาช่วยได้จริงหรือ
อยากเห็นรัฐบาลประยุทธ์ มีความจริงใจในการแก้รัฐธรรมนูญ อย่างรวดเร็ว การแก้บทบาทของ สว. ไม่ควรลงคะแนนเลือกนายกฯ เป็นปัญหาที่ไม่ยุติธรรมต่อประชาธิปไตยอย่าคิดว่ามีบทเฉพาะกาล 5 ปี คนไทยรอได้
ท่านนายกฯ อาจจะแสดงจุดยืนในเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน เพราะความดีของท่านขึ้นอยู่กับการแก้รัฐธรรมนูญและการแก้ปัญหาปากท้อง
ใน 6 ปีที่ผ่านมา ความเหลื่อมล้ำมีมากขึ้น นายกฯประยุทธ์ควรจะแสดงจุดยืนว่าไม่สนับสนุนการผูกขาด การครองตลาดเกิน 60% การใช้กฎหมายการแข่งขันเป็นรูปธรรมลดความเหลื่อมล้ำให้คนไทยเห็นชัด เป็นความกล้าหาญของท่านในจังหวะนี้
คนไทยมีข้อมูลมากมายว่าใน 6 ปี รัฐบาลคุณประยุทธ์มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างไร การแก้รัฐธรรมนูญและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยลดความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะรัฐบาลคุณประยุทธ์มีแต้มต่อในด้านความสำเร็จของ COVID มากกว่าประเทศอื่นๆ
การฉกฉวยจุดแข็งนี้ มีนโยบายทางเศรษฐกิจลดความเหลื่อมล้ำในประเทศ มีความจริงใจต่อผู้ยากไร้ ไม่ใช่แค่การแจกเงิน ไม่ยั่งยืน ใช้ศาสตร์พระราชาอย่างจริงจัง และพัฒนาการจ้างงานอย่างจริงจัง
ส่วนดีของรัฐบาลประยุทธ์มีมาก สร้างความมั่นคงให้ประเทศได้ ถ้าผิดพลาดไปจะทำให้เป็นรัฐไทยล้มเหลว (Failed State) รัฐยังมีจุดแข็ง ต้องไม่ให้ประเทศไทยล้มเหลวอย่าง ซีเรีย หรือเลบานอน
มองในอนาคตว่า หลังจากคุณประยุทธ์แล้ว ควรจะมีตัวตายตัวแทนสามารถประคับประคองประเทศไปได้ ไม่ให้คนไทยเบื่อนายกฯ มีผู้นำ ตัวอย่างป๋าเปรม ถึงจุดหนึ่งท่านบอกว่าพอ คุณประยุทธ์ต้องมีคำว่า “ผมพอแล้ว” ท่านทำความดีไว้ได้มากแล้ว
คนไทยก็ต้องการผู้นำรุ่นใหม่มีความสามารถ เป็นที่ยอมรับทางสังคมเป็นหลักของประเทศต่อไป ถึงเวลาก็ต้องหาทางลงในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
ผมเขียนอยู่ที่ดอยตุง มาทำงานกับลูกศิษย์ EGAT กลุ่มที่ 3 ของรุ่นนี้ มีความสุขมากได้เรียนรู้ตลอดเวลา และได้ความรู้อย่างลึกซึ้ง งานของสมเด็จย่า ได้แนวคิดศาสตร์พระราชาอีก 2 เรื่อง
- สมเด็จย่า เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ สิ่งที่พระองค์ไม่ทราบก็ทรงปรึกษา ร.9 วัยเด็ก ร.9 ทรงเรียนจากท่านแต่พอมาถึงวัยผู้ใหญ่ สมเด็จย่าก็ทรงเรียนจาก ร.9 เช่น การปลูกป่า
ลูกศิษย์รุ่น 3 ได้หยิบยกศาสตร์พระราชา เรื่องการแสวงหาความรู้ ผมเคยบอกลูกศิษย์ว่าเงื่อนไขเรื่องความรู้ ไม่ใช่แค่ความรู้ในอดีต ต้องมีความใฝ่รู้ เพื่อหาทางออกในอนาคต โดยใช้หลักความจริงในอดีต และเป็นวัฒนธรรมการเรียนรู้
สมเด็จย่า ทรงนำความรู้ทั้งอดีตและอนาคตมาปฏิบัติ หาทางออก โดยรับฟังจากชาวบ้าน ซึ่งผมเคยพูดเสมอว่า KM (Knowledgement : การจัดการความรู้) ไม่ใช่ LO (Learning Organization : การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้) การรับฟังและเรียนรู้จากชาวบ้าน คือการสร้างชุมชนเรียนรู้ จึงเป็นประโยชน์ในการพัฒนาดอยตุงอย่างมาก
ผมได้แรงบันดาลใจจากสมเด็จย่าเรื่อง 88 พรรษา มาคราวนี้ผมมีคำถามต่อผู้เชี่ยวชาญดอยตุงว่า ทำไมต้องดอยตุง
คำตอบคือ สมเด็จย่าเคยประทับที่สวิตเซอร์แลนด์และทรงเลี้ยงดู ร.8 ร.9 และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ตั้งแต่วัยเด็กทรงวางแผนไว้ว่า ถ้า 90 พรรษา พระองค์ท่านจะไม่ไปสวิตเซอร์แลนด์แล้ว จึงทรงมีพระดำริว่า จะอยู่เช่นประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คือ มีภูเขาสูง อากาศเย็น และทรงงานไปด้วย ทรงได้คำแนะนำจากอดีตป่าไม้ที่ประจำที่ดอยตุงคือคุณดำรงค์ พิเดช ว่ามีพื้นที่อยู่ประมาณแสนไร่ เป็นดินแดนที่อันตราย เพราะหลายเชื้อชาติ สู้รบกัน ทำไร่เลื่อนลอย ปลูกฝิ่น เขาหัวโล้น ไม่มีต้นไม้แล้ว และเป็นที่สูง คล้ายๆ สวิตเซอร์แลนด์
สมเด็จย่า ทรงประทับใจดอยตุง ทรงสำรวจอย่างรอบคอบร่วมกับ ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล จึงตัดสินพระทัยเริ่มทรงงานที่ดอยตุงจริงจังและต่อเนื่องมาถึง 32 ปี เป็นตัวอย่างที่คนไทยทุกๆ คนควรจะได้มาเห็น เพราะเป็นแรงบันดาลใจที่มีค่าอย่างยิ่ง
ผมได้มาสัมผัสดอยตุง ยิ่งรู้ว่าที่ผมมีความศรัทธาในสมเด็จย่า มาตลอดเพราะผมเขียน 2 I’s คือ
Inspiration และ
Imagination
เป็นสิ่งที่ผมใช้ตลอดเวลา เพราะถ้าทำโดยไม่มีแรงบันดาลใจ จะประสบความสำเร็จได้ยาก
นอกจากใช้แรงบันดาลใจกับลูกศิษย์ EGAT กลุ่ม 3 แล้วผมก็จะนำไปต่อยอดที่ตลาดพลู การทำตลาดพลูคล้ายๆ ถามว่า ทำไมต้องตลาดพลู เพราะตลาดพลูเป็นชุมชนที่มีคนยากจนอยู่มากมาย ยังมีปัญหาทั้งเศรษฐกิจ สังคม ควรจะได้รับการดูแลโดยใช้ศาสตร์พระราชา
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี