อีก 1 สัปดาห์จะมีการเลือกตั้งในสหรัฐ คนไทยและคนในโลกคอยผลการเลือกตั้งวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ เพราะเป็นการสู้กันในแนวคิดของทรัมป์ เช่น
- อเมริกาต้องมาก่อน
- แบ่งคนอเมริกันเป็นกลุ่มๆ เช่น กลุ่มผิวขาว กลุ่มการศึกษาต่ำกว่าระดับมหาวิทยาลัยเป็นฐานเสียงสำคัญ
- ไม่ยอมรับปัญหาโควิด-19
- โกหก ไม่พูดความจริง
- เน้นการเมืองแบบแบ่งแยก
- มีนโยบายเหยียดผิว
- ขาดความสามัคคีคนในชาติ แตกแยก
- ไม่สนใจปัญหาของโลก เช่น ภาวะโลกร้อน
ในขณะที่ โจ ไบเดน มีนโยบายแตกต่าง เช่น
- สร้างความสามัคคีของคนในชาติ
- ต้องการให้คนอเมริกาผนึกกำลังเพื่อไปข้างหน้าร่วมกัน ไม่ใช่จะเป็นประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต แต่เป็นประธานาธิบดีของคนอเมริกันทั้งหมด
- พูดความจริง ไม่โกหก มีความถ่อมตน สุภาพ เรียบร้อย
- มีแผนแก้โควิด โดยพึ่งวิทยาศาสตร์ บังคับให้มีการใส่หน้ากาก
- มองอเมริกาเป็นส่วนหนึ่งของโลก พร้อมจะแก้ปัญหาของโลกร่วมกัน
- ไม่เหยียดสีผิว มีความเสมอภาคทุกเชื้อชาติ มีสิทธิมนุษยธรรมกับผู้อพยพ
ต้องยอมรับว่า ไบเดนมีแนวโน้มคะแนนนำหลายคนไม่ไว้ใจทรัมป์ เพราะมีลูกเล่น เคยพลิกล็อกชนะฮิลลารีมาแล้ว แต่ผมค่อนข้างจะมั่นใจ ยิ่งคะแนนรวมของคณะผู้เลือกตั้ง Electoral College น่าจะชนะได้คงต้องดูกันต่อไป ผมเขียนในเฟซบุ๊ค เรื่องเลือกตั้งติดต่อกันมาเกือบ 2 เดือน ลองหาอ่านย้อนหลังได้
เอาบทเรียนเหล่านี้มาเปรียบเทียบวิกฤติการเมืองไทยทำให้เราเข้าใจมากขึ้น มีโลกทัศน์กว้างขึ้น และมีความรู้สึกดีกับประเทศไทยที่ยังมีความมั่นคงไม่ใช่เป็นรัฐล้มเหลว (Failed State)
คนไทยขาดการมองกว้าง ไม่สนใจปัญหา แสวงหาโอกาสอื่นๆ นอกตัวเรา คนไทยจำนวนมากไม่ค่อยสนใจข่าวต่างประเทศ บางครั้งฟังแล้วจับประเด็นไม่ได้ เพราะไม่ได้ติดตาม ทำให้การเรียนรู้จากข้างนอกค่อนข้างจำกัด
เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤติการเมืองของไทยในปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า หลังจากปฏิวัติ บิ๊กตู่ 2557 จนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่าประเทศไทยเผชิญวิกฤติใหม่อีกครั้ง
ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย คนไทยช่วยกันหาทางออกและแก้วิกฤติได้เสมอ วิกฤติมาแล้วก็มาอีกแต่วิกฤติครั้งนี้เรียกว่าวิกฤติของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าทางการเมือง
ในอดีตผมได้รับเชิญไปบรรยายบ่อยๆ เรื่องการแก้ปัญหาองค์กรให้คนต่างรุ่นทำงานร่วมกันแก้ปัญหาในการทำงานอย่างไร จนเป็นที่มาของแนวคิดเอาความหลากหลายมาเป็นพลังจากคนทำงานหลายๆ รุ่นร่วมกันให้เกิดพลังเรียกว่า Synergy คือ 1+1 = 3 หรือเกิดมูลค่าจากความหลากหลาย Value Diversity
ปัจจุบันปัญหาเหล่านั้น ไม่ได้มีแค่ในการทำงาน กลายเป็นเรื่องคนรุ่นใหม่กับรุ่นเก่าขัดแย้งกันด้านแนวคิดทางการเมือง
เป็นเรื่องความคิดของคนรุ่นเด็ก เช่น 15-20, 20-25, 25-30 ปี แตกต่างกับคนรุ่นเก่า 40 +
- เรื่องการใช้ Social Media อย่างมากมายแรกๆ ถ่ายรูป คุยกันธรรมดาตามประสาเด็ก แต่ตอนหลังมีกลุ่มที่แนวคิดสุดโต่งต้องการมีอิทธิพลต่อความคิดของเยาวชน ใช้วิธีการแหลมคม ใช้เงินมหาศาลยิงข้อมูลและรูปภาพเท็จเกี่ยวกับสังคมไทย โดยเฉพาะให้ร้ายกับสถาบันฯ อันเป็นที่เทิดทูนของคนไทย ปฏิบัติการล้างสมองอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว
เยาวชนขาดการปลูกฝัง เรื่องรากเหง้าและประวัติศาสตร์ชาติไทย จึงถูกชักนำไปทางผิดๆ คนรุ่นเก่าล้าสมัย ต้องประชาธิปไตยแบบเขาเท่านั้นชาติถึงจะรอด
และใน 6 ปีที่ผ่านมา มีรัฐบาลประยุทธ์อยู่ในอำนาจติดต่อกัน ทำให้ง่ายต่อการใช้วาทกรรม เผด็จการ สืบทอดอำนาจต่างๆ นำมาเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดความเข้าใจผิดต่อทหาร และสถาบันผิดไปอย่างมาก
รวมทั้งการเรียนในโรงเรียน และมหาวิทยาลัยมีอาจารย์รุ่นใหม่จะใช้โซเชียลมีเดียมาแทนที่ไปแนวล้างสมอง เด็กมัธยม และมหาวิทยาลัยในทางผิดๆ
กระทรวงศึกษาธิการได้ยกเลิก หลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ที่เป็นรากเหง้าของคนไทย ศีลธรรม สถาบันครอบครัว วัด โรงเรียน มา 40 ปี จนสังคมอ่อนแอ
การประท้วงของเอกชนปลดแอก ขยายไปในมุมกว้าง เขาเหล่านั้นยังขาดวุฒิภาวะแต่ได้อิทธิพลจากโซเชียลมีเดีย อาจารย์บางคนเรียนมาจากเมืองนอกมีความรู้ทางทฤษฎี ยังไม่ตกผลึกทางความจริง ไม่ศึกษารากเหง้าประวัติศาสตร์ของสังคมไทย ชื่นชมต่างประเทศในมุมเดียว ทำให้มีอิทธิพลต่อเยาวชนอย่างรุนแรง และมองสถาบันหลักของชาติในทางลบ
บางครั้งค้นข้อมูลจาก Internet ได้ข้อมูลข้างเดียวอาจไม่ตรงความจริงนัก ขาดการวิเคราะห์ที่มีเหตุและผลเพราะการศึกษาไทยไม่สอนให้เด็กไทยวิเคราะห์ สอนให้ท่องจำมากกว่า
ได้จังหวะที่เหมาะสมที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จแก้โควิด-19 ได้ดีที่สุดในโลก ก็เริ่มออกมาประท้วงถ้าเป็นเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย หรือ ฟิลิปปินส์โควิด-19 ยังรุนแรง มีผู้ป่วยทั้งสองประเทศกว่า 300,000คนต่อประเทศ คงไม่กล้าออกมาชักชวน
คนที่อคติต่อสถาบัน และคนถูกศาลตัดสินให้เลิกเล่นการเมือง ทำงานนอกสภาชงข้อมูลเท็จ ล้างสมองเยาวชนเหล่านั้นมาตลอด แน่นอนปัญหาของประเทศมีมากมาย พยายามให้เยาวชนหมดหวังกับระบบเศรษฐกิจของไทยหลังโควิด-19 ซึ่งไม่จริง ประเทศไทยข้อดี เศรษฐกิจพอไปได้ และพึ่งการท่องเที่ยวและการส่งออกได้
แต่ผู้อยู่เบื้องหลังกลับไม่สนใจปัญหานักการเมืองที่มี การคอร์รัปชั่น ข้าราชการที่ไม่ทำงานเพื่อประชาชน การไม่กระจายอำนาจ รวมศูนย์มานาน ปัญหาเหล่านี้
ไม่ถูกนำมาแก้ไข ถ้าจะปฏิรูปสถาบันจริงๆ ต้องมีวิธีการที่เหมาะสม หาทางพูดคุยอย่างสุภาพ ไม่มีอคติ
ขอบคุณรัฐบาล และรัฐสภาที่เปิดประชุมวิสามัญขึ้นเมื่อวันที่ 26-27 ตุลาคม และนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ได้แสดงออกชัดเจนว่ายินดีจะแก้รัฐธรรมนูญเพียงแต่จังหวะอาจจะช้าไป ถ้าท่านพูดในวันที่ 24 กันยายนให้มีการลงมติรับหลักการแก้รัฐธรรมนูญ ครั้งนั้นดูจะสวยกว่า และแก้ปัญหาการประท้วงนอกสภาฯ ไปได้ แต่ถือว่าได้ถอยคนละก้าว
ถึงแม้จะแก้รัฐธรรมนูญได้เร็ว เป็นที่พอใจของคนกลุ่มหนึ่ง ก็คงจะมีความพยายามต่อ ผมขอยืนยันว่า สถาบันกษัตริย์ ยังมีคุณประโยชน์ต่อคนไทยมากมายและถ้าจะมีการปฏิรูปก็รอไปก่อน
ถึงจะมีการแก้รัฐธรรมนูญ ปัญหาหลักของประเทศไทยก็ยังมีอยู่ คือ
- การฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกระดับของประเทศโดยเฉพาะนักการเมือง และข้าราชการประจำ ยิ่งนานวันมีมากขึ้น
- ใครจะทำให้ระบบรวมศูนย์อำนาจส่วนกลางให้เล็กลง และกระจายอำนาจไปท้องถิ่น
- ใครจะแก้เรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม
- ใครจะแก้ปัญหาระบบการศึกษาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทั้งเข้าใจรากเหง้าของคนไทย โดยคิด วิเคราะห์เป็น
- ใครจะหยุดความเจริญของกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่มที่มีทั้งเงิน และอำนาจทางการเมือง มีอำนาจผูกขาดธุรกิจไทยในปัจจุบัน คือ รวยกระจุกจนกระจาย รัฐบาลที่กล้าหาญจะใช้กฎหมายการแข่งขันทางธุรกิจมากำจัดการผูกขาดได้หรือไม่
ปัญหาเหล่านี้ต้องการการแก้ไข “ต้องเกาให้ถูกที่คัน”
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี