ประเทศไทยในยุค“ทักษิณ ชินวัตร”คิด และ“รัฐบาลเพื่อไทย”ทำ โดยมี“แพทองโพย”เป็น“นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด”ให้บิดา“ชักใย”นั้น เละเทะไปทุกองคาพยพ ประเทศไทยแทบจะไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรให้ประชาชนรู้สึกภาคภูมิใจและเชื่อถือได้อีกแล้ว มีแต่ความพร่ามัวที่ม่าน“สีเทา”ปกคลุมไปทั่ว

ผลจากการประชุมของคณะกรรมการแพทยสภาหรือบอร์ดแพทยสภา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมเมื่อวานนี้ กรณี“ป่วยทิพย์-ชั้น14”โรงพยาบาลตำรวจ ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนถึงการทุจริตและประพฤติชอบ ทั้งต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และต่อตำแหน่งหน้าที่ด้านความยุติธรรม ในโรงพยาบาลตำรวจ ในกระทรวงยุติธรรม และในกรมราชทัณฑ์

กรณีส่งตัวผู้ต้องขัง คือ “ทักษิณ ชินวัตร” จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และอาศัยช่องของกฎหมายและกฎกระทรวง ช่วยให้ทักษิณอยู่รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจจนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่เจ็บป่วยถึงขั้นวิกฤตจริง นั่นก็ด้วยเจตนา เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นักโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองที่ชื่อทักษิณไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ

เรื่องราวเกี่ยวกับการ“ป่วยทิพย์-ชั้น 14” ของ“ทักษิณ ชินวัตร”นั้น ว่าไปก็ยิ่งกว่าภาพยนตร์ของฮอลลีวูด เป็นการ“โกหกอย่างเกรียงไกร” ที่ทักษิณเป็นคนเขียนบทขึ้นมาเอง รวมทั้งกำกับและเป็นผู้แสดงนำเอง ซึ่งคนซวยที่ได้รับเคราะห์กรรมแทน ก็คือ ทาสบริวารทั้งข้าราชการประจำและนักการเมืองที่ยอมทอดตัวรับใช้ทักษิณ

กระบวนการโกหกของ“ทักษิณ ชินวัตร” และมาถูกจับได้โดยแพทยสภา จากการสอบสวนของคณะอนุกรรมการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ ซึ่งมี ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสภา เป็นประธานนั้น เริ่มตั้งแต่วินาทีแรกที่ทักษิณเหยียบแผ่นดินไทย ด้วยการอ้างว่าป่วยวิกฤตเพื่อหลีกเลี่ยงการติดคุก โดยที่กรมราชทัณฑ์แถลงว่า โรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์รักษาไม่ได้ จำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ และหลังจากนั้นกระบวนการโกหกก็รับลูกต่อกันเป็นทอดๆ

รวมเวลา 180 วันที่พักรักษาตัวอยู่ในห้อง วี.ไอ.พี.บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่กลางดึกคืนวันที่ 22 สิงหาคมต่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 จนกระทั่งได้รับการพักโทษในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 นั้น บุคคลที่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด ก็มีเพียงแค่“ทักษิณ ชินวัตร” และญาติ 10 คน รวมทั้ง“แพทองธาร ชินวัตร”บุตรสาว ตลอดจนข้าราชการของกรมราชทัณฑ์ และแพทย์-พยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ โดยมีคนนอกอีก 2 คนที่พบกับทักษิณระหว่างนั้น คือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส และ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล

ช่วงเวลา 180 วันบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดและความคืบหน้าเกี่ยวกับอาการป่วยของ“ทักษิณชินวัตร” หรือแม้แต่กล้องวงจรปิดภายในโรงพยาบาลตำรวจ ก็ถูกอ้างว่าเสียตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งวันสุดท้าย ซึ่งแปลกไม่มีการซ่อม อันเท่ากับเป็นการส่อพิรุธ ว่ามีเจตนาปกปิดความจริงบางอย่าง

ขณะเดียวกัน จากภาพเคลื่อนไหววันแรก ที่“ทักษิณ ชินวัตร”ได้รับการพักโทษ และนั่งรถตู้ออกจากโรงพยาบาลตำรวจตามฤกษ์ 06.09 น.พร้อมบุตรสาวสองคน คือ “พิณทองทา-แพทองธาร ชินวัตร” เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567นั้น สังเกตเห็นได้ว่า สีหน้าแววตาของนักโทษเด็ดขาดชายผู้นี้อิ่มเอิบ-ผ่องใส ไม่ได้อิดโรยซูบซีดเหมือนคนป่วยที่อยู่ในขั้นวิกฤต แม้จะอำพรางด้วยการสวมหน้ากากอนามัยและสวมเฝือกที่คอแล้วก็ตาม

ภายหลังได้รับการพักโทษกลับไปอยู่เรือนจำชั่วคราวที่“บ้านจันทร์ส่องหล้า” ก็ปรากฏว่า“ทักษิณ ชินวัตร”ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วราวปาฏิหาริย์ และอีกไม่กี่วันต่อมา ทักษิณก็ได้ขออนุญาตกรมคุมประพฤติ เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวไปกราบไหว้อัฐิบรรพบุรุษที่จังหวัดเชียงใหม่บ้านเกิด ระหว่างวันที่ 14-16 มีนาคม2567 ซึ่งที่เชียงใหม่ก็ไม่มีอาการป่วยที่เคยอ้างว่าวิกฤตให้เห็นเช่นกัน “ทักษิณ”เดินตัวปลิว เยี่ยมชมตลาด กินกาแฟ-กินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ พบปะสังสันทน์กับเพื่อนเก่านักเรียนร่วมรุ่น และออกรอบตีกอล์ฟ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงอาการป่วยว่าไม่จริงนั้น “ทักษิณ ชินวัตร”เฉไฉตอบว่า “ภาวะจิตใจคนสำคัญกว่า ถ้าภาวะจิตใจแย่ก็อาจจะทำให้อย่างอื่นรวนตามไปได้” พร้อมทั้งยังแขวะกลับว่า “ยังไงก็โปรดเข้าใจ และเห็นใจคนแก่ในวัย 75ปีด้วย ที่จากบ้านเกิดเมืองนอนไปนาน วันนี้กลับ ใครไม่ชอบหน้า ก็ต่างคนต่างอยู่ไป”

สำหรับผลการประชุมแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมวานนี้ สรุปอย่างเป็นทางการว่า “ทักษิณชินวัตร”ป่วยทิพย์ ไม่ได้ป่วยวิกฤตจริง เนื่องจากเอกสารทางการแพทย์ที่คณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ชุดที่มี นพ.อมร ลีลารัศมี ได้รับหลังจากขอไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ไม่ได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจน ว่ามีภาวะวิกฤตเกิดขึ้นตามที่มีการแถลงข่าว

ทั้งนี้ จากการแถลงภายหลังการประชุมแพทยสภาของ ศ.เกียรติคุณ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดแพทยสภามีมติลงโทษแพทย์ 3 คน คนแรกเป็นการว่ากล่าวตักเตือน กรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน ในการออกใบส่งตัว และพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 คน ในกรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์ไม่ตรงกับความจริง

ขณะที่“ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งเวลานี้มีคดีมาตรา 112 เป็นบ่วงมัดคอในฐานะจำเลยอยู่อีกหนึ่งคดี ได้ไปยื่นคำร้องขออนุญาตศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ตั้งแต่เช้าเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมวานนี้ ก่อนที่แพทยสภาจะมีมติดังกล่าว เพื่อเดินทางออกนอกประเทศไปกาตาร์ ตามคำเชิญของเจ้าผู้ครองนครรัฐกาตาร์ แต่ศาลไม่อนุญาต โดยชี้ว่า เป็นหมายนัดส่วนตัว

ส่วนมติของแพทยสภาที่มีการลงโทษแพทย์ 3 คนนั้น แพทยสภาจะต้องนำเสนอขอความเห็นชอบจาก นายสมศักดิ์ เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภาก่อนจะดำเนินการตามมติ และนายสมศักดิ์สามารถใช้อำนาจยับยั้งมติของแพทยสภาได้ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่แพทยสภามีมติ หากแพทยสภายืนยันมติเดิมก็จะต้องมีเสียงเห็นชอบ 2 ใน 3 ของแพทยสภา

แต่อย่างไรก็ดี มติของแพทยสภา ยังจะเป็นสารตั้งต้นให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง ใช้ประกอบการวินิจฉัยคดี“ป่วยทิพย์-ชั้น14”ของ“ทักษิณ ชินวัตร” ที่จะมีการไต่สวนนัดแรกในวันที่ 13 มิถุนายนเดือนหน้า จึงมีแนวโน้มว่าทักษิณจะต้องถูกสั่งให้กลับเข้าไปติดคุกแน่นอน

อีกทั้งมติดังกล่าวของแพทยสภา ก็จะมีผลผูกพันให้ป.ป.ช.ซึ่งเวลานี้อยู่ระหว่างพิจารณาสอบสวนคดีที่มีการกล่าวหาว่า นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสังกัดกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ รวมทั้งหมด 12 คนประพฤติมิชอบกรณีส่งตัว“ทักษิณ ชินวัตร”ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ นำไปพิจารณาประกอบมัดในสำนวนสอบสวนได้เป็นอย่างดี

สำคัญที่สุด คดี“ป่วยทิพย์-ชั้น14” ซึ่งถูกจับได้ว่า“ป่วยเทียม”นี้ ไม่เพียงแต่“ทักษิณ ชินวัตร”เท่านั้นที่จะต้องกลับไปติดคุก ข้าราชการประจำที่ทอดตัวรับใช้ทักษิณก็ไม่น่าจะมีใครรอด มิหนำซ้ำจะติดคุกหัวโตด้วย

เฉพาะ“ทักษิณ ชินวัตร”จะยอมติดคุก หรือจะหนีไปเป็นสัมภเวสี-ก็คงต้องติดตามดูกันต่อไป !

รุ่งเรือง ปรีชากุล