วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
โรคโควิด-19 นั้นอยู่กับคนไทยมาปีกว่าๆ และข่าวคราวความสำเร็จในการผลิตวัคซีนก็มีออกมาให้ได้ยินกันสักพัก รวมทั้งข่าวการประกาศรับรองวัคซีน และเริ่มฉีดให้กับประชาชนในหลายๆ ประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน และอินเดีย กันตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563
ประเทศต่างๆ ก็จัดทำแผน และวางระบบกระจายวัคซีนให้กับพลเมือง ขนานไปกับการเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ และห้องเย็นเพื่อขนส่งและเก็บ และที่สำคัญคือ การจัดลำดับกลุ่มประชาชนพลเมืองเพื่อรับวัคซีนว่ากลุ่มใดจะได้รับก่อนหลัง ซึ่งก็มักจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ หรือกลุ่มแนวหน้า ต่อมาก็เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ป่วย เป็นต้น บางประเทศที่มีทุนทรัพย์และบุคลากรวิทยาศาสตร์ก็ได้มีการลงทุนในการค้นคว้าวิจัยโดยหน่วยงานรัฐ หรือโดยการร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน รวมทั้งฝ่ายอุดมศึกษา หรือไม่ก็ทำการว่าจ้าง และในการนี้ก็สามารถจะรู้จำนวนยาวัคซีนที่จะได้ครอบครอง และจำนวนหนึ่งก็อาจขายต่อ หรือมอบให้เปล่ากับมิตรประเทศบ้าง
หลายประเทศก็ติดต่อกับบริษัท/หน่วยงานวิจัยอุดมศึกษาโดยตรง เพื่อขอซื้อยาวัคซีน แล้วก็มีองค์การเภสัชกรรมของรัฐ หรือบริษัทเอกชนในประเทศต่างๆ ก็อาจจะขอรับจ้างผลิตยาวัคซีน
สำหรับเมืองไทยเรานั้น ภาพไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลประยุทธ์ ได้ทำอะไรในทำนองเตรียมแผน เตรียมมาตรการการกระจายวัคซีนกันบ้าง และจะเริ่มกันแบบไหน อย่างไร หน่วยงานใดต้องเตรียมตัวกันบ้าง และกำลังจะมีข้อยุติเมื่อใด ซึ่งแม้คนไทยจะได้รับทราบจากรัฐบาลไทยเกี่ยวกับแผนการจัดหาวัคซีนมาใช้งานในประเทศ แต่เรากลับไม่ได้ยินถึงแผนการกระจายวัคซีนไปสู่ประชาชนเลย ทราบเพียงคร่าวๆ ว่า บุคลากรทางการแพยท์จะได้รับการฉีดก่อน แล้วค่อยตามมาด้วยกลุ่มผู้สูงอายุ
ที่ข่าวกรองออกมาบ้างก็มีแค่ถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าได้ติดต่อสั่งซื้อยาวัคซีนจากจีน ซึ่งจะใช้ได้ในระยะแรกกับจำนวนพลเมือง 2 ล้านคน แต่ก็ไม่มีข้อมูลรายละเอียดอื่นๆ ที่จัดว่าจะเป็นแผนแห่งชาติ ดังที่ประเทศอื่นๆ เขากระทำกัน
ฉะนั้น ก็เป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะนำเอาแผนงานมาสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนพลเมืองว่า จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีที่สุด และแผนงานนั้นต้องโปร่งใส ต้องมีตัวเลขเป็นสำคัญ และก็ต้องบอกด้วยว่าขณะนี้รัฐบาลประยุทธ์ กำลังเจรจากับใครบ้าง ไม่ใช่จู่ๆ ก็บอกเรื่องหนึ่งโพล่งมาแล้วก็เงียบหายไป
อีกเรื่องหนึ่งก็อยากขอชื่นชมหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยที่ลงทุนลงแรง พยายามช่วยกันทดลองสร้างวัคซีนโควิด-19 แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จในขั้นนำออกมาใช้ได้ แต่เท่าที่ทราบก็มีความก้าวหน้าในระดับหนึ่ง ถือเป็นการยกระดับความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเภสัชกรรมของไทย โดยเฉพาะกับบริษัท ใบยา ไซโตฟาร์ม จำกัด ที่ถือเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ภายใต้การสนับสนุนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ประสบความสำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการไปแล้ว
นอกจากนั้น ยังมีข่าวดีอีกว่า บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์จำกัด ของไทยเรานั้น ได้รับการเลือกจาก แอสตราเซเนกา ร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แห่งสหราชอาณาจักร ได้ว่าจ้างให้เป็นฐานการผลิตวัคซีนโควิด-19 เพื่อกระจายไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามวัตถุประสงค์ขององค์กรผู้คิดค้นที่ว่า “วัคซีนควรมีราคาถูก เพื่อช่วยคนทั่วโลก ไม่ใช่เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้นายทุน” โดย สยามไบโอไซเอนซ์นั้นมีมาตรฐานการผลิตระดับโลก และเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไร เนื่องมาจากองค์กรที่เป็นผู้ก่อตั้ง (บริษัท ทุนลดาวัลย์จำกัด) อยู่ภายใต้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์โดยมีวัตุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยพึ่งพาตนเองได้ในเรื่องการผลิตยา ทำให้คนไทยทั่วไปสามารถซื้อหายารักษาโรคได้ในราคาถูกลง ก็ถือว่าเป็นพรมหากรุณาธิคุณจากสถาบันกษัตริย์ไทยที่มีต่อชาวไทย
ในการนี้ รัฐบาลไทยก็น่าจะสามารถคำนวณจำนวนวัคซีนคร่าวๆ ที่จะออกมาให้ใช้งานได้ในประเทศไทย ซึ่งก็ยังต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรกว่าจะผลิตได้เท่ากับความต้องการของตลาด รัฐบาลไทยจึงควรได้พิจารณา เรื่องการซื้อวัคซีนจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเราสามารถชักจูงประชาคมอาเซียนมาพูดคุยถึงการร่วมกันซื้อลอตใหญ่ เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกลงและนอกจากอาเซียนแล้ว ก็ยังมีกลุ่มบิมสเทคแห่งอ่าวเบงกอล(BIMSTEC - Bay of Bengal Initiative for Multi-SectoralTechnical and Economic Cooperation) ซึ่งมีอินเดียที่สามารถผลิตยาวัคซีนเองได้เป็นสมาชิกอยู่ด้วย
และไม่ว่าแผนจัดหาวัคซีนจะสมบูรณ์เพียงใด แต่หากปราศจากแผนการแพร่กระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพออกไป การขจัดฝันร้ายของโควิด-19 ออกไปจากสังคมไทยก็จะไม่หมดไป และความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจก็จะยืดเยื้อต่อไป
รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ต้องไม่มัวมึนๆ งงๆ สาละวนอยู่กับเรื่องประชานิยมของการแจกเงิน การลดแลกแจกแถม จนไปถึงการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งเป็นเรื่องระยะสั้นเฉพาะหน้า และมีขอบเขตอันจำกัด หากแต่ต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องการวางแผนกระจายวัคซีน และประกาศให้สังคมไทยได้รับทราบกันอย่างชัดเจน เพื่อที่จะได้เตรียมตัว และรู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรในการเข้ารับวัคซีน รวมทั้งเมื่อไหร่ เพราะมันคือความปลอดภัยของชีวิต ที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาโควิด-19 อีกทั้งควบคู่ไปกับแผนบริการวัคซีนดังกล่าว รัฐบาลประยุทธ์ก็ต้องมีแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับสภาพการแข่งขันระหว่างประเทศกับโลกของเศรษฐกิจสีเขียว เทคโนโลยีสารสนเทศ และวิทยาศาสตร์ว่าด้วยชีววิทยา
ในการนี้ ฝ่ายรัฐก็จะต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอันสำคัญในเรื่องการค้นคว้าวิจัยและพัฒนา ซึ่งแวดวงวิชาการต่างๆ ของไทยดังเช่น ฝ่ายวัคซีน และฝ่ายเภสัชกรรมและอื่นๆ ของไทย ก็มีบุคลากรที่มีความสามารถ แต่ยังขาดการสนับสนุนอย่างจริงจัง ก็เป็นเรื่องอยู่ในวิสัยที่ฝ่ายรัฐจะเพิ่มความสนอกสนใจและรับผิดชอบได้ และในการนี้ก็จะเป็นโอกาสอันสำคัญที่จะสร้างงานใหม่ๆ ให้กับแรงงานไทยในทุกระดับได้
แต่ภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้านี้ รัฐบาลประยุทธ์ควรจะนำแผนการจัดหาวัคซีน และแผนกระจายวัคซีนให้ครอบคลุมคนทั้งประเทศได้แล้ว
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

'อนุทิน'หัวเราะร่วนไม่ตอบ 'วราวุธ' ยก ชทพ. ย้ายซบ 'ภท.'
'นิพิฏฐ์'ท้าปชช. รับเงินคนรวย เลือกคนดี ลั่นลูกคนอื่นเป็นสส.ได้ ลูกคุณก็เป็นได้
เสียดินแดนชาติหมดสิ้น 'นันทิวัฒน์' ลั่นไม่มีเสียแล้วเสียไป
'แอนฟิลด์'โชว์! นำไทยคว้าแชมป์กอล์ฟเยาวชนเอเชีย
นายกฯ เผยมีแผนรับมือน้ำท่วมใต้ พร้อมเยียวยาความเสียหายตามหลักเกณฑ์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี