ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา แวดวงการเมือง สื่อ วิชาการ และธุรกิจ ได้มีการติดตามการเจริญเติบโต และการแผ่ขยายบทบาทและอิทธิพลของจีน รวมทั้งความทะเยอทะยานที่จีนจะขึ้นมาเป็นใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมถึงการจะขึ้นมาเป็นเจ้าโลก (แซงสหรัฐอเมริกา)
ซึ่งก็หมายความว่า จีนในวันนี้ พร้อมจะแข่งขันและต่อกรกับสหรัฐอเมริกา ทั้งทางด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจและสังคม หรือจะมีพละกำลังและแสนยานุภาพต่างๆ ให้เหนือกว่าสหรัฐอเมริกา
จีนนั้นตีตื้นสหรัฐอเมริกาเข้ามาเรื่อยๆ เพราะการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องไม่ลดละในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา แต่จะแซงสหรัฐฯ ได้หรือไม่ ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปยาวๆ แต่กล่าวได้ว่าจีนก็ยังเพียรพยายามอยู่อย่างที่สุด
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยเกิดมีแนวคิดที่ว่า การแข่งขันชิงดีชิงเด่น เอาแพ้ชนะกัน ระหว่างสหรัฐอเมริกา กับจีนนั้นจะก่อให้เกิดสภาวะโลกแห่งสงครามเย็น (The Cold War) ครั้งใหม่หรือไม่ และผลกระทบต่อชาวโลกจะมีความคล้ายกับสงครามเย็นในอดีตช่วงปี ค.ศ. 1945-1991 ระหว่างสหรัฐอเมริกา กับสหภาพโซเวียตขนาดไหน
ซึ่งการใช้คำว่าสงครามเย็นนั้น ก็มีคำถามว่าเป็นการเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากบริบทและสถานการณ์นั้นไม่เหมือนกัน
ก็เลยขอถือโอกาสนี้ทบทวนว่า สงครามเย็นยุคสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต มีลักษณะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพื่อจะได้นำมาเปรียบเทียบกับโลกปัจจุบันยุคการชิงความเป็นใหญ่ระหว่างสหรัฐอเมริกา กับจีน
สงครามเย็นแต่อดีตนั้น มีองค์ประกอบหรือสาระเนื้อหาที่สำคัญๆ คือ
1.การแข่งขันกันทางด้านอุดมการณ์การเมือง ว่าด้วยระบอบประชาธิปไตย กับระบอบเผด็จการ สังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์
2.การแข่งขันกันทางด้านแสนยานุภาพทางการทหาร รวมทั้งด้านกิจการอวกาศ
3.การยันกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Deterrence) คือมีครอบครองกันไว้เพื่อมิให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้ เพราะหากใช้ก็จะทำให้พินาศกันทั้งคู่ (รวมทั้งชาวโลก)
4.การลดความตึงเครียดและการเผชิญหน้าด้วยการตกลงกันในเรื่องการจำกัดจำนวนจรวดขีปนาวุธวิสัยกลางและไกล และการระงับการแพร่ขยายของอาวุธนิวเคลียร์ และส่งเสริมการลดอาวุธเป็นการทั่วไป โดยมี Hot line โทรศัพท์สายตรงระหว่างผู้นำ
5.การดำเนินสงครามตัวแทน (Proxy War) เพื่อให้อุดมการณ์การเมืองของฝ่ายตนเป็นฝ่ายชนะในพื้นที่ภูมิภาคต่างๆ
6.การจัดระเบียบโลกของตนแบบต่างคนต่างอยู่ภายในกลุ่มโลกของตน เช่น องค์การนาโต กับองค์การวอร์ซอ องค์การคอมิคอน กับข้อตกลงการค้าและภาษี (ต่อมาเปลี่ยนเป็นองค์การการค้าโลก) การแข่งขันการให้ความช่วยเหลือต่อประเทศกำลังพัฒนาและการใฝ่หาประเทศพันธมิตรแนวร่วมทางด้านอุดมการณ์
7.การโฆษณาชวนเชื่อ ยกตนและกล่าวหาประณามอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นสงครามจิตวิทยา เพื่อบ่อนทำลายกันและกัน
8.การมีกองเรือรบตระเวนไปในน่านน้ำต่างๆ ทั่วโลกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง พร้อมกับการจัดส่งที่ปรึกษาทางการทหารและผู้ฝึก ไปยังมิตรประเทศของฝ่ายตน
9.การส่งออกวัฒนธรรมและการกีฬา เพื่อแสดงความเป็นเลิศ และความเหนือกว่า เป็นต้น
ณ วันนี้ จีนถูกฝ่ายสหรัฐฯ และพันธมิตรตีกรอบและประชิดชายแดน ขณะที่จีนมีเรือบรรทุกเครื่องบินแค่ลำเดียว (ขณะที่สหรัฐฯ มีอยู่ 11 ลำ) ซึ่งแม้จีนจะมีกองเรือรบ และกองเครื่องบิน หากจะออกจากฐานที่ตั้ง ก็ยังจะต้องตีฝ่าวงล้อมของฝ่ายสหรัฐฯ และพันธมิตรออกไป
การที่จีนใช้นโยบายเอาแต่ใจเชิงรุกราน รุกคืบ ในกรณีข้อพิพาททะเลจีนตอนใต้ และข้อพิพาทชายแดนกับอินเดีย และกลั่นแกล้งจำกัดจำเขี่ยไต้หวัน (เพื่อให้ไต้หวันอยู่อย่างโดดเดี่ยวนอกวงการต่างๆ ของประชาคมโลก) อีกทั้งการซื้อผู้นำประเทศต่างๆ นั้น ดูขาดความแนบเนียน จึงเป็นการเสริมสร้างความหวาดระแวงมากกว่าการสร้างมิตร
และการดำเนินการต่างๆ ของจีนใช้นโยบายชาตินิยม หรือคลั่งชาติ เป็นเครื่องมือมากกว่าความเป็นนานาชาตินิยม
ในอดีตนั้น สหภาพโซเวียตได้ทุ่มพละกำลังและทรัพยากรไปอย่างเกินตัว เพื่อกิจการทหาร และภาพลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ จนล่มสลายไปในที่สุด
ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา จีนถือว่ามั่งคั่งมากๆ ด้วยการผสมผสานการเมืองพรรคเดียวเป็นเผด็จการ กับการเศรษฐกิจการตลาดทุนนิยม จึงมีเงินเหลือใช้ที่จะทำการต่างๆ ได้พร้อมๆ กันหลายด้าน แต่การจะตีตื้นทางด้านการทหารให้ทัดเทียม หรือแซงสหรัฐอเมริกาได้ จีนจะต้องเพิ่มการทุ่มเทเงินทองอย่างมหาศาลให้กับเรื่องการวิจัย ค้นคว้าและพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ซึ่งงบประมาณเพื่อการนี้ก็จะต้องแข่งขันกับงบประมาณเพื่อการเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเสี่ยงจะก่อปัญหาภายในประเทศได้ ด้วยการนี้ จึงยังมีคำถามในแวดวงโลกว่า จีนจะสามารถแซงสหรัฐอเมริกาได้จริงหรือ?
แม้จีนจะแข็งแกร่งและดูน่ากลัว แต่เอาเข้าจริงแล้ว จีนก็ยังไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะก่อสงครามเย็นกับสหรัฐอเมริกา จึงกล่าวได้ว่า สงครามเย็นครั้งใหม่ยังไม่ได้เกิดขึ้น อีกทั้งโลกยุคนี้ไม่ได้มีแค่สหรัฐอเมริกา กับจีน ที่จะแชร์อำนาจกันยังมีทั้งรัสเซีย สหภาพยุโรป อินเดีย และญี่ปุ่น ที่มีจุดเด่นเฉพาะตัวที่ไม่ธรรมดา และต่างคงไม่ยอมให้จีนทำตามอำเภอใจแต่ผู้เดียวได้ จึงมีแนวโน้มว่าส่วนใหญ่จะหันไปร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในการสกัดดาวรุ่ง เพื่อไม่ให้จีนแซงสหรัฐฯ ได้
และนอกจากนั้นรัสเซียแม้ว่าจะญาติดีกับจีนในวันนี้ก็เพียงเพื่อขัดแข้งขัดขาสหรัฐอเมริการ่วมกัน แต่ลึกๆ แล้วรัสเซียก็หวาดระแวงจีนมากกว่าสหรัฐอเมริกา เพราะจีนมีชายแดนที่อยู่ติดกับดินแดนรัสเซียที่เวิ้งว้าง ปราศจากผู้คน เป็นจุดดึงดูดความกระหายของจีนที่มีพลเมืองล้นประเทศได้
ประเด็นคือ จีนต้องตั้งสติ หยั่งตัวเอง และยับยั้งความทะเยอทะยาน เพราะการดันทุรังก็จะไปไม่ถึงดวงดาว และยังจะสร้างศัตรูมากกว่ามิตร จีนอยู่ในวิสัยที่จะขึ้นมายิ่งใหญ่ด้วยมิตรไมตรี และกุศโลบายแห่งสันติวิธี
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี