วันพฤหัสบดี ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ในที่สุดปีนี้ เราก็ฉลองสงกรานต์แบบเงียบๆเป็นปีที่สอง อันเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังเข้าสู่การระบาดรอบที่สาม และอาจกำลังเข้าสู่วิกฤติสาธารณสุข จนทำให้เกิดสภาพคนล้นโรงพยาบาลทั้งกรณีไปตรวจและไปรักษา วุ่นวายถึงขนาดที่เมื่อวันก่อน รัฐบาลต้องประกาศให้หน่วยงานราชการ ปรับระบบการทำงานโดยให้ Work from Home ตั้งแต่เปิดสงกรานต์ไปจนถึงสิ้นเดือน และขอความร่วมมือ หน่วยงานภาคเอกชน ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกัน
เกิดอะไรขึ้นกับการระบาดอีกครั้งในประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ที่ครั้งนี้ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าทุกรอบ ทั้งๆ ที่กำลังเริ่มมีทางออกทั้งเศรษฐกิจ และจากการเริ่มนับหนึ่งฉีดวัคซีนที่แม้ว่าจะช้าไปนิดก็ตาม
อะไรคือต้นตอของปัญหา? แล้วรัฐบาลจะจัดการปัญหาอย่างไร รวมถึงปัญหาใหญ่ตอนนี้คือเรื่องการรักษาและการฉีดวัคซีนที่ตอนนี้กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากประชาชน?
จากคลัสเตอร์ทองหล่อ เอกมัย ที่ตอนนี้ยังไม่รู้จุดเริ่มจริงๆ แต่แพร่กระจายไปทั่วประเทศ และทุกวงการแล้ว เหลือเพียงไม่กี่จังหวัดเท่านั้นที่ยังไม่พบผู้มีเชื้อ แต่ตอนนี้เริ่มมีคนตั้งคำถามแล้วว่า โควิดที่ระบาดทุกรอบล้วนเกิดจากผู้มีอำนาจหรือไม่? รอบแรกที่เกิดจากคลัสเตอร์ใหญ่ เช่น สนามมวย รอบที่แล้วจากกรณีการปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างชาติและกรณีบ่อนการพนัน ส่วนการระบาดรอบนี้ถูกมองว่าเกิดจากปล่อยให้มีร้านเหล้า สถานบันเทิง ทั้งที่มีใบอนุญาตและไม่มีใบอนุญาต เกิดคำถามว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีการควบคุมดูแลจริงจังหรือไม่? มีกล้องติดตามตรวจสอบได้หรือไม่?
สังคมกำลังตั้งคำถามกับคำว่า “อภิสิทธิ์ชน” คนมีเงิน ไปสถานที่แบบนี้ได้ ตำรวจ เทศกิจ สาธารณสุข มีอำนาจตามกฎหมายไว้ทำไม? เมื่อบังคับใช้ไม่ได้กับทุกคน?
การเลือกที่จะไม่เคารพกฎกติกา บ้านเมือง เพราะคิดว่าเคลียร์ได้ ทัศนคติของผู้ทั้งประกอบการ และผู้บริโภค ไม่คิดถึงจริยธรรม ไม่คิดถึงปัญหาและไม่เคารพประโยชน์ส่วนรวม เอาเข้าจริงในต่างจังหวัด ก็คงมีพฤติกรรมคล้ายกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดรวมถึงกทม.ผู้บัญชาการตำรวจภาคต่างๆกระทรวงสาธารณสุข ทำอะไรกันอยู่? และที่สำคัญที่สุด ศบค. ยังควบคุมสถานการณ์ได้อยู่ไหม
การบริหารสถานการณ์ของรัฐบาลว่ายังคงมีประสิทธิภาพหรือไม่? ทั้งในเรื่องอำนาจในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ยังมีอยู่ถึงปัจจุบัน และความพร้อมในการรับมือ ซึ่งเหมือนจะไม่ทันสถานการณ์แล้วในรอบนี้ ?
การบริหารสถานการณ์โควิด-19 เริ่มด้วยการตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. โดยนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ตั้งขึ้นเพื่อบริหารสถานการณ์โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยการบริหารสถานการณ์จะขึ้นอยู่กับส่วนของศูนย์ปฏิบัติการภายใต้ ศบค. ใหญ่หรือที่เรียกกันว่าศบค. ชุดเล็ก ซึ่งจะมีอำนาจในการบริหารสถานการณ์เฉพาะหน้า ทั้งในการออกข้อกำหนด และการปรับพื้นที่ความเข้มข้นในการบังคับใช้มาตรการควบคุม ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ผลดีมาตลอด ซึ่งต้องชื่นชนคนทำงานในช่วงที่ผ่านมา แต่ทั้งหมดกลับต้องมาเสียเพราะข้าราชการส่วนน้อยที่ปล่อยปละละเลยให้มีการละเมิดมาตรการที่ถูกกำหนดขึ้น ซึ่งทำให้ประชาชนส่วนรวมเดือดร้อน และภาคราชการทั้งหมดก็กลายเป็นจำเลยของสังคม
ซึ่งหากย้อนดูเหตุการณ์การแพร่ระบาดในหลายๆรอบที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าความผิดพลาดของการควบคุมสถานการณ์เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นปล่อยให้มีการลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมายและเป็นการนำพาเชื้อเข้าสู่ประเทศหลังจากที่ไทยสามารถจำกัดการติดเชื้อในประเทศให้เป็นศูนย์ได้ หรือคลัสเตอร์ของบ่อนการพนันที่ผู้ถือกฎหมายปล่อยให้มีการเปิดบ่อนการพนัน แต่เมื่อเกิดเหตุกลับออกมาชี้แจงกับประชาชนว่า ไม่มีการเปิดบ่อน เป็นเพียงสถานที่ลักลอบเล่นการพนัน ?
และล่าสุดคือคลัสเตอร์สถานบันเทิงที่มีการเปิดให้บริการโดยไม่ควบคุมให้มีการเว้นระยะห่างหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด จนเกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง ทำให้เกิดคำถามว่ามีการกวดขันการบังคับใช้มาตรการ ตลอดจนสถานบันเทิงได้มีการขออนุญาตถูกต้องกฎหมายหรือไม่?
หลังจากทนกระแสสังคมไม่ไหวก็เริ่มมีการขยับ โดยมีการสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในพื้นที่ เพื่อให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และมีการสั่งฟ้องดำเนินคดีกับผู้จัดการร้านชื่อดังที่มีการแพร่ระบาด
แต่ก็ได้แต่หวังให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และนำตัวผู้กระทำผิดตัวจริงมาลงโทษได้จริงๆ รวมถึงหากพิสูจน์แล้วว่าเจ้าหน้าที่รัฐคนใดผิดก็หวังให้ได้มีการลงโทษจริง ไม่ใช่ย้ายไปแล้วรอวันย้ายกลับ เพราะครั้งนี้ประชาชนคงจะคอยติดตามอย่างหนัก
ตอนนี้สถานการณ์ประเทศ กำลังยากลำบาก ทุกฝ่ายควรช่วยกัน รวมถึงบรรดานักการเมือง หรือกลุ่มการเมือง ไม่ว่าฝ่ายใด ควรถอยออกมาแล้วเปิดโอกาสให้คุณหมอและกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ที่ทำงานอย่างหนักทั้งที่หน้างานที่โรงพยาบาล และการวางแผนควบคุมโรค และรักษาโรค ให้ท่านเหล่านี้ได้ออกมาพูดเพื่อลดความแตกตื่นและความสับสนของประชาชน จากความวุ่นวายในการไปโรงพยาบาลตอนนี้ที่พบว่าเต็มเกือบทุกที่ โดยเฉพาะเรื่องกระบวนการจัดการวัคซีนสำหรับประชาชน ที่กำลังจะเกิดขึ้น
นอกจากคำถามเรื่อง การเข้าตรวจและเข้ารักษาของประชาชน ในช่วงนี้ที่นับว่าวิกฤติ ทั้งการตรวจคัดกรองการติดเชื้อ ที่หาที่ตรวจยากตอนนี้และต้องเข้าคิวกันแออัด รวมถึงสถานการณ์ที่เตียงรับผู้ป่วยไม่เพียงพอ รวมถึงการบูรณาการระหว่าง
โรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่ติดขัดอยู่ แต่สิ่งที่กำลังเป็นคำถามและอาจจะสร้างความวุ่นวายในเร็วๆ นี้ ก็คือ คำถามต่อกระบวนการจัดการวัคซีนต่อประชาชน ที่ลอตใหม่เข้ามาไทยแล้วเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา รอบนี้ประชาชนทั่วไปน่าจะได้ฉีดแล้ว
โดยรับมอบวัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค จำนวน 1 ล้านโดส จากประเทศจีน ตามข้อตกลงกับ ซิโนแวค จำนวน 2 ล้านโดส โดยรับรอบแรกไปเมื่อปลายกุมภาพันธ์ 2 แสนโด๊สและรอบสองเมื่อปลายมีนาคม ไปอีก 8 แสนโดส ครั้งนี้เป็นลอตใหญ่ 1 ล้านโดส และยังมีของแอสตราฯ เข้าไทยลอตแรกอีกส่วนหนึ่งด้วย
คำถามคือรัฐบาลจะจัดการอย่างไร? ก็ควรอธิบายให้ประชาชนทราบ เพราะของรอบแรกส่วนใหญ่คือบุคลากรทางการแพทย์ กระบวนการจัดการไม่ยากนัก แต่การจัดสรรให้กับประชาชนที่ตั้งตารอทั้งประเทศอยู่นั้น รวมถึงการต้องเตรียมชุดคำตอบเรื่องคุณภาพวัคซีน ผลข้างเคียง อาการของโรค ฯลฯ ทั้งหมดไม่ง่ายเลย
แค่เรื่องการกระจายวัคซีน ก็ดูเหมือนจะไม่ง่ายแล้ว โดยหากดูตามมิติแรก ที่ถัดจากบุคลากรทางการแพทย์ ก็จะเป็นผู้สูงอายุ และกลุ่มเสี่ยงผู้มีโรคประจำตัว แต่สถานการณ์ในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่ากลุ่มที่ติดเชื้อเป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่เป็นพาหะนำเชื้อเข้าไปในครอบครัวมากกว่า รวมถึงอาจต้องตัดสินใจเรื่องพื้นที่ที่มีความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจด้วย จึงถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยที่จะบริหารวัคซีนที่มีอยู่อย่างจำกัดตอนนี้
อย่างไรก็ตามในต่างชาติหลายประเทศที่มีการฉีดวัคซีนแม้จะทำได้เร็วกว่าประเทศไทย แต่ก็ประสบปัญหาสำคัญสองอย่างคือ ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน ที่มีถึงขั้นเสียชีวิต และอีกประการที่เพิ่งเริ่มเกิดขึ้นคือ ฉีดวัคซีนไปแล้วแต่ยังกลับมาติดโควิด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ การฉีดได้เร็วกว่าจึงไม่ใช่ทางออกเสียทีเดียว แต่การฉีดที่ช้าเกินไปก็ไม่น่าจะดีเช่นกัน สิ่งที่สำคัญคือการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งเราเคยทำได้ดีเมื่อปีที่แล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องกลับไปทบทวน ทั้งตัวภาครัฐเองที่ต้องไปทบทวนว่าผิดพลาดตรงไหน และประชาชนเองก็ควรจะระมัดระวังและไม่ควรไปฝากความหวังไว้กับใครอีกแล้ว ตอนนี้คงต้องพึ่งตนเองเพื่อคนในครอบครัว
“วิญญูชนย่อมไม่สร้างความลำบากยากใจให้ผู้อื่น”
(โกวเล้งจาก จับอิดนึ้ง)

‘อบต.เหล่าหมี มุกดาหาร’จัดงานลอยกระทง งดพลุ แสง สี เสียง
‘นายกฯอนุทิน’ตอบเอง หลังชาวเน็ตโฟกัส‘ซิป’ งานนี้ฮาไม่เบา
วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี แปลอักษรถวายความอาลัย'สมเด็จพระพันปีหลวง'
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก‘อบต.นาฝาย ชัยภูมิ’นำเด็กฝึกทำกระทงใบตอง ลดค่าใช้จ่ายวันลอยกระทง
ส่งผ่าพิสูจน์! 'โลมาลายแถบ'เกยตื้นตาย'ชายหาดบาสัก' พบมีบาดแผลถลอก

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี