มีคนอวดฉลาด หรืออวดโง่ หรืออาจจะร้อนรนทนไม่ไหว
ออกมาดิ้นเร่าๆ หาว่าคนไทย หรือพวกสลิ่ม ไม่ควรดีใจหรือภูมิใจไปกับกรณีที่ “ลลิษา มโนบาล” ออกผลงานมาแล้วได้รับความนิยมทั่วโลก
อ้างว่า ไม่ใช่ผลงานไทย แต่เป็นผลงานเกาหลีใต้
1. ในความเป็นจริง คงไม่มีใครไม่ทราบว่านี่เป็นผลงานของค่ายเพลงในเกาหลีใต้และลิซ่า ก็เป็นศิลปินในสังกัดบริษัทของเกาหลีใต้ จึงไม่มีใครเคลมว่าเป็นผลงานความสำเร็จของประเทศไทย ของรัฐบาลไทย หรือของบริษัทไทยเลย
นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ออกมาชื่นชม ก็คือชื่นชมว่า เมื่อเธอประสบความสำเร็จ ก็ยังทำประโยชน์ให้เกิดแก่ประเทศไทย และคนในประเทศไทย
2. ลิซ่า เปิดเผยว่า เธอเจตนาใส่เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย เพื่อสะท้อนตัวตนของเธอไว้ใน MV
นั่นทำให้เกิดกระแสตามมา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ สถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกินที่เธอกล่าวถึงเวลาออกรายการทีวี ฯลฯ ได้อานิสงส์กันตามมา
ลูกชิ้นยืนกินที่บุรีรัมย์ บ้านเกิด ปีนี้จัดเทศกาลเร็วขึ้น รับกระแส คนแห่ไปกินมากกว่าเดิม สั่งออนไลน์ด้วย
ปราสาทหินพนมรุ้ง คนไปเที่ยวมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ยังมีสถานการณ์โควิด
ลองคิดดูว่า ถ้าเปิดประเทศ แล้วคนจะอยากมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้นขนาดไหน?
ไทยพีบีเอสรายงานว่า กระแส LISA ฉุดยอดขาย “รัดเกล้ายอด” ร้านค้าในตลาดสำเพ็งพุ่งจากวิกฤต COVID-19 ขณะที่ยอดสั่งออนไลน์จากต่างประเทศโต 20%
นึกถึงยอดขายเสื้อหมายเลข 7 ของ คริสเตียโน โรนัลโด กับ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่พุ่งทะยานไปถึง 187 ล้านปอนด์ (ประมาณ 8,479ล้านบาท) กรณีย้ายกลับมาค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
นั่นคือตัวอย่างกระแสความนิยมที่เปลี่ยนเป็นเงินในต่างประเทศ
กรณีของลิซ่า หากประเทศไทยบริหารจัดการต่อยอดดีๆ ก็มีโอกาสต่อยอดผลประโยชน์ได้มาก เพราะมันรับกับจุดแข็งของการท่องเที่ยวไทยหลังโควิด-19 สอดรับกับแนวทางส่งเสริมเศรษฐกิจขอรัฐบาลพอดี
คนไทยที่มีสติ มีปัญญา จึงชื่นชม “ลิซ่า” เพราะเธอนำเสนอด้านบวกของเมืองไทย และทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจตามมาอย่างจับต้องได้
ต่างกับพวกที่เอาแต่วิจารณ์ เอาแต่ด่า เอาแต่บูลลี่ เอาแต่ด้อยค่า ไร้ประโยชน์ใดๆ ต่อประเทศชาติและประชาชน ช่างน่าสมเพชเวทนา
3. นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูต ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Fuangrabil Narisroj อธิบายในประเด็นเดียวกันนี้ อย่างละเอียด ลึกซึ้งน่าสนใจ ระบุว่า
“...มีพวกร่านที่ออกมาดีดดิ้นรับไม่ได้ที่ ลิซ่า ได้รับความนิยมติดอันดับโลกจาก Single เพลง Lalisa ที่มีการสอดแทรกความเป็นไทยที่เป็น “ต้นกำเนิด” ของลิซ่า ไว้ในฉากหนึ่ง และในเนื้อเพลงก็มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “From Thailand to Korea”
พวกร่านพวกชังชาติจะดิ้นมากและออกมาบอกว่า อย่ามาอ้างความเป็นไทยเพราะมันไม่มี
ฟังแล้วก็ได้แต่สมเพช คือ ถ้ามันไม่มีสิ่งที่สะท้อนความเป็นไทยที่เป็น “ต้นกำเนิด” ของลิซ่า เขาก็คงไม่ใส่คำว่า Thailand ลงในเนื้อเพลง และคงไม่ใส่
ฉากปราสาทหินพนมรุ้ง ฉากลิซ่าใส่รัดเกล้า ใส่ชุดไทยประยุกต์ที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์คนไทย ไว้ในคลิป หรือแม้แต่ ป้ายร้านอาหารที่เป็นภาษาไทยที่ปรากฏแว่บนึงในคลิปด้วย
ตอนที่ผมไปออกรายการของคุณต้น วรเทพ ช่อง Top News ผมก็ได้เล่าเบื้องหลังการทำการบ้านของ Korea ที่เก่งมากสามารถผลักดันเรื่อง Soft Power จนทำให้เกาหลีเป็นผู้นำทางด้านสื่อบันเทิงสมัยใหม่ได้ในระดับแถวหน้า
ผมขอนำมาอธิบายตรงนี้อีกครั้ง เพราะตอนออกรายการเวลามันน้อย อาจจะอธิบายไม่หมด
1.เกาหลีเป็นประเทศที่ทำการบ้านทางด้านใช้ Soft Power เป็นตัวนำได้ดีที่สุดในโลก ในสายตาผม เก่งกว่าญี่ปุ่นด้วย เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปว่าทำไม
2.Soft Power ของเกาหลี สามารถทำให้สินค้าเกาหลีจากเมื่อ 20 กว่าปีก่อนเป็นสินค้าที่เมื่อเอ่ยชื่อคนยังไม่รู้จักดีพอ เช่น มือถือซัมซุง รถยนตร์ฮุนได กลายเป็นแบรนด์ชั้นนำแนวหน้าได้ เพราะภาครัฐและภาคเอกชนเกาหลีเขามีส่วนช่วยกันผลักดันสร้าง Soft Power (ผ่านทางการดูแลขององค์กรที่ชื่อว่า Korea Foundation) อย่างเป็นระบบร่วมกันอย่างขันแข็ง
3.ศิลปินเพลงแร็พร่วมสมัย หนังซีรี่ส์เกาหลี ล้วนแล้วแต่เป็นผลิตผลที่ภาครัฐและเอกชนเกาหลี เขาบรรจงสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ครองใจคนทั้งโลก
เริ่มจากในอดีตนักร้องดังอย่าง Rain ก็เป็นเหมือน “หุ่นยนต์” ที่ Korea Foundation เป็นผู้อยู่เบื้องหลังปั้นขึ้นมาจากเด็กหนุ่มโนเนมคนนึงจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์
4.การที่ผมบอกว่าเกาหลีเก่งกว่าญี่ปุ่นในเรื่องการสร้าง Soft Power นั้น เพราะเกาหลีใช้เวลาน้อยกว่าญี่ปุ่น แต่สามารถผลักดันจนตอนนี้สื่อบันเทิงแซงหน้าญี่ปุ่นไปแล้ว
5.เกาหลีทำการบ้านล่วงหน้ามากกว่าญี่ปุ่นหลายสิบปี อย่างที่ผมเคยเกริ่น เคยเขียนลงใน FB และพูดในรายการคุณต้นไป ขอเล่าอีกทีคือ ทางเกาหลีเขาทำการบ้านอย่างระมัดระวัง และคิดล่วงหน้าไปไกลมาก เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยผมเป็น ผอ.กองการทูตวัฒนธรรม (ดูแลงานด้าน Soft Power ของไทยในต่างแดน) วันนึงก็ได้รับการติดต่อจากสถานทูตเกาหลีว่า อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านสารนิเทศ (ดูแลงานด้าน Soft Power) ขอมาพบผมที่ กต.เพื่อหารือเรื่อง Soft Power
6.ตอนแรกผมก็แค่คิดว่าทางฝ่ายเกาหลีคงจะมาหารือในการจัดงานทางวัฒนธรรมของเกาหลีในไทย แต่เปล่าเลย ! สิ่งที่ฝ่ายเกาหลีมาพบและหารือผมคือการที่ฝ่ายเกาหลีกังวลใจว่า ถ้าหากการเผยแพร่ Soft Power ของเกาหลีแต่ฝ่ายเดียวมากเกินไป อาจทำให้วันนึงอาจกลายเป็นผลที่ swing back ไปในทางตรงกันข้ามผมยังจำได้ดีว่าฝ่ายเกาหลียกตัวอย่างที่ครั้งนึง (ช่วง 14 ต.ค. 16) ขบวนการนักศึกษาไทยมีการเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น และเริ่มลามไปยังประเทศต่างๆ(ถ้าใครอยู่ในยุคนั้นคงจำได้ ทางฝ่ายญี่ปุ่นตกใจมาก เลยแก้เกมด้วยการจัดตั้งโครงการเรือเยาวชนเอเชียอาคเนย์ หรือ Nippon Maru ขึ้นมารองรับ โดยใช้เรือเป็นสื่อให้เยาวชนประเทศต่างๆ เกิดความนิยมญี่ปุ่นด้วยการใช้ชีวิตทำกิจกรรมบนเรือร่วมกัน ซึ่งปรากฏว่าได้ผล หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็มีการให้ทุน นศ.ไทยไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นอีกมากมาย)
7.ฝ่ายเกาหลียกประเด็นนี้มาหารือกับผม เพราะเกรงว่าหาก Soft Power ของเกาหลีได้รับความนิยมมากจนเกินไป อาจกลายเป็นผลเสียได้ ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่อาจคาดคิดได้ขึ้นมา เช่น กรณีที่เกิดกับญี่ปุ่น เลยอยากมาหารือขอความคิดเห็นในการสร้างประโยชน์ร่วมกัน
8.ตอนนั้นจำได้ดีว่าผมได้แนะนำฝ่ายเกาหลีไปว่า เห็นด้วยที่ควรจะคิดป้องกันไว้ล่วงหน้า ถึงแม้ว่า Soft Power ด้านวัฒนธรรมจะเป็นสิ่งดีงาม แต่อะไรที่มากเกินไป หรือถูกยัดเยียดมากไป วันนึงอาจเกิดผลในทางตรงกันข้ามได้ ผมจึงแนะนำว่าควรดำเนินการเผยแพร่ Soft Power ในลักษณะที่ร่วมมือกัน หรือแลกเปลี่ยนกันเพื่อการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เช่น การแลกเปลี่ยนศิลปินดารานักร้อง/ครูอาจารย์ เป็นต้น เพื่อให้เกิดผลงานร่วมกัน ทำให้เกิดความรู้สึก “ภูมิใจ” ร่วมกันอันนี้จะช่วยมิให้เกิดการแอนตี้ Soft Power ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในอนาคตได้
9.ฝ่ายเกาหลีเห็นด้วยและรับลูกในข้อแนะนำของผม บอกว่าเป็นไอเดียที่ดี และจะนำไปรายงานให้รัฐบาลเกาหลีทราบต่อไป
10.เวลาผ่านไปได้สักพัก จนผมเริ่มลืมไปแล้ว ก็ปรากฏโครงการที่ฝ่ายเกาหลีเข้ามาคัดเลือกเยาวชนไทยทั้งชายและหญิงเข้าไปร่วมแสดงในงานบันเทิงต่างๆ ของเกาหลี เริ่มด้วยคุณณิชคุณ และคนอื่นๆ อีกหลายคนจนมาถึงน้องลิซ่า วงแบล็กพิงก์
11.ดังนั้น ที่ฝ่ายร่าน ฝ่ายชังชาติ บอกว่าอย่ามาอ้างความเป็นไทย เพราะมันไม่มี นั้น จึงไม่ถูกต้อง ! เพราะเรามีความเป็นไทย (Thainess) ที่ผ่านตัวแทนคือเยาวชนที่ได้รับคัดเลือกให้ไปร่วมแสดงวัฒนธรรมร่วมสมัยกับศิลปินเกาหลี แค่บอกว่าเยาวชนคนนี้มาจากประเทศไทยและมายืนตรงจุดนี้ได้ นั่นก็ถือเป็น Soft Power อย่างนึงแล้ว และยิ่งน้องลิซ่า สามารถสอดแทรก อารยธรรมต้นกำเนิดของน้องลิซ่าไว้ได้ในคลิป MV ที่เผยแพร่ไปทั่วโลก ทำให้คนไทยเกิดความ “ภูมิใจ” ร่วมกันไปด้วย
12.ถึงแม้ว่าเพลงของลิซ่าและต้นสังกัดนั้นเป็นของเกาหลี แต่นี่คือความสวยงามที่เกิดจากการรู้จักเรียนรู้ซึ่งกันและกันและนำมาซึ่งการผสมผสานถ่ายทอด Soft Power ร่วมกันระหว่างเกาหลีและไทย เป็นอะไรที่ win win ทั้งคู่ เป็นตัวอย่างที่ดีด้วยซ้ำที่เราอาจนำมาประยุกต์ใช้กับงานเผยแพร่ Soft Power ของไทยกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน (มีกรณีนึงที่ไทยเราเคยดึงเอาศิลปินดารานักร้องลาว เช่น อเล็กซานดรา บุญช่วย หรือ นักแสดงสังกัดช่อง 7 ที่ชื่อ ธันวา สุริยจักร ที่เป็นคนลาว มาแสดงละครทีวีในไทย นี่ก็เป็นความร่วมมือทาง Soft Power ที่ดีเช่นกัน)
ก็ไม่เข้าใจว่าฝ่ายร่านและฝ่ายชังชาติจะหาเรื่องเตะตัดขาสิ่งเหล่านี้ทำไม?”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี