รัฐบาลทหารจับกุมตัว “เชอรี่ แทต” บอดี้การ์ดส่วนตัวออง ซาน ซู จี ส่งฟ้องดำเนินคดีตามก.ม.อาญามาตรา 505 ข้อหายุยงให้เจ้าหน้าที่รัฐหยุดงาน เพื่ออารยะขัดขืน โทษจำคุกสูงสุด 3 ปี
ทันทีที่เห็นข่าวนี้ ผู้สื่อข่าวชาวพม่าที่ทำข่าวการเมืองมากว่า 30 ปี กล่าวกับ “แนวหน้า” ว่านางออง ซาน ซู จี มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับระบอบทักษิณของไทย ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังนักการเมืองในสังกัดและสมุนบริวารให้ปลุกระดม ก่อความวุ่นวายหวังให้ได้อำนาจคืนมา
“แต่อย่างไรก็ตาม โอกาสที่พวกเขาได้อำนาจคืนริบหรี่เต็มที เพราะทั้งสองต่างก็อ้างเป็นประชาธิปไตยแต่ไม่สนใจในวิธีการ พวกเขาคิดอย่างเดียวคือทำอย่างไรให้ได้อำนาจคืนมา”
ออง ซาน ซู จี เองปลุกระดมให้ผู้สนับสนุนเธอและพรรคเอ็นแอลดีประท้วงต่อต้านทหารสามวันก่อนหน้าถูกยึดอำนาจ นางเปิดเกมรุกก่อนโดยการเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านทหารที่เตรียมการยึดอำนาจ ออง ซาน ซู จี รู้อยู่เต็มอก ว่าการที่เธอปฏิเสธไม่ยอมให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบข้อหาโกงการเลือกตั้ง ตามที่ทหารเรียกร้องถึงหกครั้ง
ก่อนถูกปฏิวัติทั้งอดีตผู้นำไทยและผู้นำพม่ามั่นใจเหมือนกันว่า กกต. และเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ฝ่ายตนจึงโกงการเลือกตั้งกันอย่างย่ามใจ การเลือกตั้งในเมืองไทยยุคนั้น ว่ากันว่ามีบัตรปลอมเป็นล้านใบ บางหน่วยเลือกตั้งเปลี่ยนหีบกันซึ่งหน้า หรือเปลี่ยนหีบบัตรเลือกตั้งระหว่างการขนส่งเข้าส่วนกลาง ทั้งระบอบทักษิณและระบอบซู จี จึงหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
พรรคยูเอสดีพี ซึ่งเป็นพรรคทหารร้องเรียนว่ามีการโกงเลือกตั้งครั้งใหญ่และมีบัตรเลือกตั้งผิดปกติถึง 11 ล้านใบ แต่นางออง ซาน ซู จี ไม่ยอมให้มีการตรวจสอบ ทั้งๆ ที่ทหารเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อหาโกงการเลือกตั้งถึงหกครั้ง
เมื่อปฏิเสธการตรวจสอบและปฏิเสธข้อเสนอให้เปลี่ยนกรรมการการเลือกตั้ง เธอรู้ตัวล่วงหน้าว่าทหารต้องยึดอำนาจแน่นอน ซึ่งในความเป็นจริงเธอสามารถประนีประนอมเพื่อหลีกเลี่ยงการยึดอำนาจได้แต่เธอไม่ทำ มิหนำซ้ำยังเปิดเกมรุกก่อน โดยเรียกร้องให้ประชาชนลูกขึ้นมาต่อต้านการยึดอำนาจ
ตามรายงานของรอยเตอร์ซึ่งอ้างข้อมูลจากคนใกล้ชิดเปิดเผยว่า ซู จี ทำลายโทรศัพท์ส่วนตัวของเธอในคืนวันที่ 28 ม.ค. สามวันก่อนทหารยึดอำนาจ มีความลับอะไรอยู่ในโทรศัพท์ นางจึงรู้ว่าถ้าเจ้าหน้าที่ยึดไปได้ต้องเป็นหลักฐานมัดตัวเธอ
หลังจากพลเอกมิน อ่อง หล่าย ยึดอำนาจวันที่1 ก.พ. สองวันต่อมาคนใกล้ชิดเธอและผู้สนับสนุนพรรคเอ็นแอลดี ออกมาประท้วงเป็นจำนวนมากตอนแรกประท้วงแบบอารยะขัดขืน หลังจากนั้นไม่นานการประท้วงกลายเป็นจลาจลวุ่นวายเมื่อฝ่ายประท้วงอ้างว่าหญิงสาวซึ่งเป็นไอดอลการประท้วง ถูกทหารยิงตายในเมืองมัณฑะเลย์
สามวันต่อมาคณะผู้บริหารแห่งรัฐ สั่งให้ขุดศพขึ้นมาชันสูตรใหม่ ผลการชันสูตรศพพบว่าศพนั้นถูกยิงจากข้างหลังเข้าที่กกหูขวาและกระสุนที่พบในหัวกะโหลกเป็นกระสุนขนาดเล็ก แตกต่างจากกระสุนที่ทหาร ตำรวจใช้ และเชื่อว่ายิงมาจากปืนปากกา มือปืนต้องอยู่ข้างหลังผู้เคราะห์ร้าย ทหาร ตำรวจตั้งแถวเผชิญอยู่กับผู้ประท้วงแล้วกระสุนจะตีวงโค้งมาเข้าข้างหลังได้อย่างไร
การประท้วงต่อต้านการยึดอำนาจในพม่า จึงมีส่วนคล้ายกับการประท้วงต่อต้านยึดอำนาจในเมืองไทยคือมีคนต้องการให้ผู้ร่วมประท้วงตายเพื่อได้แห่ศพสร้างความโกรธแค้นปลุกระดมให้เกิดจลาจล
พลเอกมิน อ่อง หล่าย ออกแถลงการณ์ทางทีวีว่าให้ระวังการยิงจากข้างหลัง สื่อตะวันตกบิดเบือนว่า พลเอกมิน อ่อง หล่าย ขู่ยิงหัวผู้ประท้วง ทำให้การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทหารรุนแรงขึ้นตามลำดับกลายเป็นจลาจลวุ่นวาย สุดท้ายมีวัยรุ่นหนีเข้าป่าไปฝึกอาวุธกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่ม แล้วกลับออกมาก่อกวนแบบผู้ก่อการร้าย
“คนพม่าเห่อตามกระแสและไม่ฟังข่าวจากทางราชการคนพม่าเชื่อข่าวลือและข่าวที่มาจากเอ็นแอลดีฝ่ายเดียว และพรรคเอ็นแอลดี ก็อยู่ภายใต้อำนาจสั่งการของนางออง ซาน ซู จี เพียงคนเดียว เหมือนกับนักการเมืองเพื่อไทยส่วนใหญ่ที่อยู่ใต้อิทธิพลระบอบทักษิณ พรรคเอ็นแอลดีถ้าไม่มีนางซู จี ก็จบ พรรคเพื่อไทยถ้าไม่มีระบอบทักษิณหนุนหลังก็ล่มสลาย แหล่งข่าวกล่าว
นางออง ซาน ซู จี ไม่แสดงตัวออกหน้าไม่สั่งการผ่านทีวีคอนเฟอเรนซ์หรือวีดีโอคอลเหมือนระบอบทักษิณ ผู้สนับสนุนนางเตรียมการอย่างลับๆ เมื่อถึงเวลาก็ประกาศตั้งรัฐบาลเงาและตั้งกองกำลังติดอาวุธที่อ้างว่าเป็นกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF)ขึ้นมา นางซู จี พูดแต่เพียงว่า “ฉันอยู่เคียงข้างประชาชน”
ดังนั้นเมื่อ PDF ส่งคนเข้าฝึกอาวุธกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ อาทิ กะเหรี่ยง KNU กองกำลังคะฉิ่น ฯลฯ และกลับออกมาก่อการร้ายโจมตีเป้าหมายทหาร ลอบสังหารเจ้าหนี้ที่ที่สนับสนุนรัฐบาลทหาร โดยเฉพาะผู้นำชุมชนเป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มก่อการร้าย การวางระเบิดสถานีรถไฟ วางระเบิดเสาสัญญาณโทรศัพท์ของบริษัทที่สนับสนุนรัฐบาลทหาร
รัฐบาลรักษาการขึ้นบัญชีดำกลุ่มต่อต้านเป็น“ผู้ก่อการร้าย” แต่ฝ่ายต่อต้านที่สนับสนุนนางซู จี ถือว่าเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเหมือนกับคนเสื้อแดงและสามกีบในเมืองไทยที่อ้างว่าพวกตนเท่านั้นเป็นฝ่ายประชาธิปไตยคนที่เห็นต่างส่วนใหญ่เป็น..สลิ่ม
กองกำลัง PDF ซึ่งไม่มีศูนย์บัญชาการ ไม่มีผู้บัญชาการแน่นอน ปล่อยให้ผู้ก่อกวนต่างคนต่างทำต่างคนต่างก่อการร้ายในพื้นของตนตามอำเภอใจ เหมือนกับเสื้อแดงเทียม กลุ่มธรรมศาสตร์ไม่ทน กลุ่มทะลุแก๊ส กลุ่มทะลุฟ้า และอันธพาลอิสระในเมืองไทย ฯลฯ ที่ต่างกลุ่มต่างเผาทำลาย ต่างกลุ่มต่างก่อการร้ายตามอำเภอใจ
จากข้อมูลของทางการ PDF วางระเบิดรายวันและลอบสังหารเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะผู้นำชุมชนตายไปแล้ว 125 ศพ แต่สื่อตะวันตกที่สมคบกับสื่อพม่าเสนอข่าวด้านเดียว ว่าตั้งแต่ยึดอำนาจ 1 ก.พ. ทหารฆ่าผู้ท้วงตายไปแล้วพันกว่าราย แต่ไม่เคยเอ่ยถึง PDF ที่ฆ่าคนตาย ซึ่งเหมือนกับเสื้อแดงในเมืองไทยที่ปั่นกระแสว่าทหารฆ่าเสื้อแดงตายเป็นร้อยแต่ไม่พูดถึงที่เรื่องคนเสื้อแดงฆ่าทหาร สังหารประชาชนและแม้แต่ฆ่ากันเองเพื่อแห่ศพ
ล่าสุดรัฐบาลเงาพม่าประกาศให้ประชาชนปฏิวัติทั่วประเทศเมื่อวันที่ 13 ส.ค. คำประกาศนี้มีขึ้นก่อนหน้าสหประชาชาติประชุมสามัญครั้งที่ 76 รัฐบาลเงาพม่าตั้งใจให้ผู้นำทั่วโลกเห็นว่ารัฐเงาของพม่า มีศักยภาพต่อสู้กับรัฐบาลทหาร พรรคเอ็นแอลดีี ของนางออง ซาน ซู จี ยังมีสิทธิชอบธรรมตามกฎหมายและเชื่อว่า นางซู จีสนับสนุนให้ท้ายชักใยอยู่เบื้องหลัง
นายดูวา ลาซี ลา รักษาการประธานาธิบดีรัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ (NUG) ประกาศปฏิวัติประชาชนทั่วประเทศว่า “วันนี้เป็นวันดีเดย์ของการปฏิวัติประชาชนทั่วประเทศ NUG เรียกร้องให้ประชาชนออกมาต่อต้านทำลายเป้าหมายทหารและทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์ทหาร...ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านและเตรียมกักตุนอาหารไว้ให้มาก...คณะประชาชนปฏิวัติ สั่งการให้ตำรวจ ทหาร หยุดทำหน้าที่รับใช้ทหารและให้ลาออกจากราชการ มาร่วมกับประชาชนต่อสู้รัฐบาลทหาร”
เป็นที่น่าสังเกตว่า NUG ประกาศปฏิวัติประชาชน หนึ่งวันหลังจากรัฐบาลทหารประกาศหยุดยิงจนถึงเดือนธันวาคม ตามคำขอของนายเอรีวัน ทูตอาเซียนประจำพม่า เพื่อเปิดทางให้อาเซียนได้ส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้เข้าถึงทุกท้องที่ตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน
การประกาศประชาชนปฏิวัติ หลังจากที่ทูตอาเซียนของร้องให้ทหารพม่าหยุดยิง เท่ากับขัดขวางมิให้อาเซียนช่วยเหลือประชาชนโดยตรงและจงใจให้ประชาชนทุกข์ยากลำบาก ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย เหมือนกับที่คนแดนไกลเคยพูดว่า “ถ้าผมไม่อยู่สุขสบายก็อย่าได้หวังว่าคนในประเทศนี้จะอยู่กันอย่างมีความสุข”
ประชาคมนานาชาติได้ประจักษ์แล้วว่า คู่ขัดแย้งในพม่า ต่อสู้กันทั้งกำลังอาวุธและทางการทูตทั้งในระดับภูมิภาคในอาเซียนและการทูตระดับโลก ล่าสุดมีการประลองกำลังในเวทีสหประชาชาติ ทั้งฝ่ายนางออง ซาน ซู จี และรัฐบาลทหารพม่า ต่างก็อ้างว่าฝ่ายตนมีความชอบธรรมที่แสดงวิสัยทัศน์ในเวทีสหประชาชาติ
โฆษกฝ่ายพิธีการของยูเอ็น กล่าวว่านายจอ โม ตุนส่ง จ.ม.ถึงเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันจันทร์อ้างว่าเขาได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีวิน มินท์ เมื่อวันที่ 20 ก.ค 2563 ดังนั้นเขายังเป็นผู้แทนของสภาพพม่าโดยชอบธรรม เพราะยังไม่มีรัฐบาลใดรับรองรัฐบาลทหารพม่าที่มาจากการยึดอำนาจ
และวันอังคาร กระทรวงการต่างประเทศพม่าส่งหนังสือมาถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ว่ารัฐบาลรักษาการของสหภาพพม่าได้ปลดนายจอ โม ตุน ออกจากตำแหน่งตั้งแต่งวันที่ 8 ก.พ 2564 และเรียกตัวเขากลับประเทศ “บัดนี้นายจอ โม ตุน ไม่มีหน้าที่ใดๆเกี่ยวข้องกับสถานทูตพม่า กระทรวงการต่างประเทศสหภาพพม่าได้ทำหนังสือเป็นทางการแต่งตั้งให้อุปทูตพม่าประจำยูเอ็นรักษาการทูตพม่าแทน”
“นี่เป็นสถานการณ์พิเศษที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งดังนั้นสรุปว่า “ณ เวลานี้ไม่มีผู้แทนจากสหภาพพม่าขึ้นปราศรัยในสมัชชายูเอ็น” นายดูจาร์ริค โฆษกฝ่ายพิธีการ กล่าว
ระบอบทักษิณ กับออง ซาน ซู จี มีส่วนเหมือนกันและแตกต่างกัน ที่เหมือนกันคือทั้งคู่ไม่ได้ระบายความในใจในยูเอ็น หลังจากถูกยึดอำนาจ ที่แตกกต่างกันคือทักษิณถูกศาลตัดสินในความผิดคอร์รัปชั่นหลายคดีแล้วหนีไปอยู่ต่างประเทศ
ส่วนนางออง ซาน ซู จี กำลังถูกดำเนินคดีอาญา 5 กระทง อาทิ คดีโกงการเลือกตั้ง ฝ่าฝืนข้อห้ามเพื่อป้องกันโควิดระบาดระหว่างหาเสียง ใช้วิทยุสื่อสารและนำเข้าวิทยุสื่อสารผิด ก.ม.
แต่ที่ข้อหาร้ายแรงคือรับสินบน สมคบกันคอร์รัปชั่นและข้อหาละเมิด ก.ม.ความลับทางราชการ ทั้งห้าคดีดำที่กำลังพิจารณาอยู่ในศาลพิเศษกรุงเนปิดอว์ นางซู จี ถูกฟ้องสี่คดีในศาลสูงเขตมัณฑะเลย์ และอีกหนึ่งคดีถูกฟ้องในศาลสูงเขตเมืองย่างกุ้ง แต่การดำเนินคดีทั้ง 5 ข้อหาย้ายไปพิจารณาในศาลพิเศษกรุงเนปิดอว์
พลเอกมิน อ่อง หล่าย ให้สัญญาว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งหลังจากยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินในเดือน ส.ค. ปีหน้า ซึ่งนางออง ซาน ซู จี คงไม่มีสิทธ์ิลงสมัครเพราะหากศาลตัดสินว่ามีความผิดเธออาจติดคุกถึง 15 ปี แต่นักวิเคราะห์ชาวพม่ามองว่าถึงแม้ศาลตัดสินว่าเธอมีความผิด แต่หลังการเลือกตั้งและพม่ามีรัฐบาลใหม่แล้วเธอคงได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ก็เปิดทางให้เธอหลบหนีออกนอกประเทศ เหมือนนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
สรุปว่า ออง ซาน ซู จี กับระบอบทักษิณมีความเหมือนกันตรงที่ไม่มีวันได้กลับมามีอำนาจอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี