การระบาดของโรคโควิด-19 จากเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกประเทศทั่วโลก โดยตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงสุด จะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละพื้นที่ ตัวเลขสูงสุดของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในทวีปเอเชียยังคงอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้ที่มีผู้ป่วยรายใหม่มากกว่าวันละ 3 แสนรายรองลงมาคือประเทศเวียดนาม ในขณะที่ในทวีปยุโรปประเทศเยอรมนี มีผู้ป่วยรายใหม่สูงสุด ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกาถึงแม้ตัวเลขจะลดน้อยลงมาก แต่ก็ยังอยู่ที่ระดับหลายหมื่นรายต่อวัน
สำหรับในประเทศไทยนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมพร้อมที่จะประกาศให้โรคโควิด-19 เปลี่ยนจากโรคระบาดร้ายแรงเป็นโรคประจำถิ่นในระยะเวลาอีกไม่เกิน 3 เดือนจากนี้ไป ซึ่งน่าจะเป็นตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม นี้ ฉะนั้นการรายงานสถิติตัวเลขอาจจะเริ่มปรับเปลี่ยน จากการรายงานทุกวัน เป็นการรายงาน ทุก 1 หรือ 2 สัปดาห์ เช่นเดียวกับในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา ซึ่งรายงานสถิติตัวเลขที่เกี่ยวกับโรคนี้เป็นรายสัปดาห์แล้ว
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้บริหารจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานถึงสถิติตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศไทย โดยได้รายงานตัวเลขเฉลี่ยในรอบ 2 สัปดาห์ ว่าอยู่ที่ระดับประมาณ 23,000 ราย โดยตัวเลขสูงสุดในช่วงดังกล่าวอยู่ที่มากกว่า 27,000 รายต่อวัน มีผู้ติดเชื้อที่มีปอดอักเสบมากกว่า 1,400 ราย และผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจมากกว่า 500 ราย และในส่วนของผู้เสียชีวิตนั้น อยู่ที่ประมาณ 80 ราย ซึ่งอัตราการเสียชีวิตยังมากกว่า 0.1 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวเลขที่ยังไม่เข้าเกณฑ์ของการที่จะประกาศให้โรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น คือเป็นโรคทั่วไป และไม่มีอันตราย ป้องกันได้
เมื่อมาดูรายละเอียดของผู้เสียชีวิตในขณะนี้ จะพบว่า มากกว่า 90% ของผู้เสียชีวิต อยู่ในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มที่มีโรคเรื้อรังที่เรียกว่ากลุ่ม 608 ที่สำคัญยิ่งคือ อัตราส่วนของผู้เสียชีวิตพบว่า เป็นผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน มากกว่า 50% ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก เพราะปัญหาเรื่องการขาดแคลนวัคซีนในประเทศไทยได้ผ่านพ้นมาแล้วเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 4-5 เดือน และยังพบว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ได้รับการฉีดวัคซีน เพียง1 เข็ม หรือฉีดไม่ครบตามที่กำหนดไว้
ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมจนกระทั่งถึงเดือนมีนาคมนี้ ข้อมูลทางระบาดวิทยาของผู้เสียชีวิตซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นมากกว่า 2,400 รายเล็กน้อยนั้น พบว่าเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุเฉลี่ย 73 ปี โดยผู้ที่มีอายุมากที่สุดคือ 107 ปี ส่วนเด็กที่เสียชีวิตนั้น เด็กที่อายุน้อยที่สุดคืออายุเพียง 3 เดือน อีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจคือหญิงมีครรภ์ ซึ่งพบว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดนั้น เป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวมากกว่า 2,100 ราย โดยโรคที่เจอมากที่สุดคือความดันโลหิตสูง รองลงมาได้แก่โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคไตเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรคอ้วน และภาวะปอดอุดกั้น เรื้อรัง
ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม ที่ผ่านมานี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนเรื่องต่างๆซึ่งถือว่าเป็นการเตรียมพร้อมในการที่จะเปลี่ยนให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น โดยการปรับเปลี่ยนที่สำคัญ นอกจากการผ่อนคลายมาตรการของภาครัฐในการดำเนินชีวิตของประชาชน และการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้เข้าไปสู่สภาวะที่ใกล้เคียงกับสภาวะปกติมากขึ้น ถึงแม้ว่ายังไม่มีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งได้ถูกประกาศใช้มานานกว่า 2 ปีแล้วก็ตาม โดยในส่วนของการดูแลรักษาโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนนั้น ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติในการเข้ารับการรักษาพยาบาลใหม่
การปรับเปลี่ยนที่สำคัญคือการที่ให้ประชาชนเข้ารักษาพยาบาลตามสิทธิพื้นฐานในระบบบริการสุขภาพตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ ทั้งในส่วนของกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนประกันสังคม และกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย จะต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลตามที่กองทุนเหล่านี้ได้ระบุหรือขึ้นทะเบียนไว้ ยกเว้นผู้ที่มีอาการมากหรืออาการรุนแรงจนอาจเสียชีวิต ซึ่งจะถูกคัดแยกโดยต้องเข้ารับการประเมินจากสถานพยาบาล ว่าเป็นผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเหลืองหรือสีแดง จึงจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศได้ทั้งของภาครัฐและเอกชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เว้นเสียแต่ว่าจะเลือกรับบริการตามความประสงค์ของตนเอง ซึ่งในกรณีนี้จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
ส่วนการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นนั้น ขณะนี้ก็ใช้เพียงแค่วิธีตรวจ ATK เท่านั้น โดยประชาชนสามารถจะตรวจด้วยตนเองได้ หรือตรวจจากสถานพยาบาลตามสิทธิ์ในกรณีที่สงสัย และหากผลการตรวจเป็น 2 ขีด ซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อ ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาลได้เลยตามที่ได้เคยกล่าวไว้ คือหากไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยก็เข้าสู่กระบวนการแบบเจอ-แจก-จบ กักรักษาตัวเองที่บ้าน โดยลงทะเบียนเพื่อรับยาจากสถานพยาบาลตามสิทธิ์ หรือเข้ารับการกักรักษาใน home หรือ hotel isolation ตามเหตุผลความจำเป็น ยกเว้นผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมสามารถเข้ากักรักษาใน hospitel ได้ด้วย โดยทั้งหมดนี้ไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากมีอาการเปลี่ยนแปลงเข้าข่ายสีเหลืองหรือแดง ก็ถือว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตโรคโควิด แพทย์จะพิจารณาให้ย้ายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่อไป
ขณะนี้ เริ่มมีข้อมูลเชิงประจักษ์จากการวิจัยในประเทศไทยเราเองแล้วว่า การฉีดวัคซีนนั้น มีประสิทธิผลทั้งต่อการป้องกันการติดเชื้อ และการป้องกันอาการที่เกิดขึ้น ตลอดจนการเสียชีวิตได้อย่างแน่นอน โดยจากผลงานการศึกษาวิจัยของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งผู้ทำวิจัยประกอบด้วย ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์สุวัฒน์จริยาเลิศศักดิ์ นายแพทย์กิตติพันธ์ ฉลอม และคณะ ซึ่งเป็นการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564-กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งผลงานดังกล่าวอยู่ในระหว่างการรอตีพิมพ์ และได้รับการเปิดเผยในลักษณะที่เรียกว่า preliminary presentation ที่ผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุขก็ได้นำออกมาเสนอไว้ส่วนหนึ่งแล้ว โดยมีผลการศึกษาดังนี้
การรวบรวมข้อมูลแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลา คือช่วงที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2564 เชื้อที่ระบาดในช่วงนั้นเป็นสายพันธุ์เดลต้าเกือบทั้งหมด จำนวน 19,215 ราย ช่วงที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มกราคม 2565 เชื้อที่ระบาดในช่วงนั้นเป็นสายพันธุ์โอมิครอน 75 เปอร์เซ็นต์ เดลต้า 25 เปอร์เซ็นต์จำนวน 15,691 ราย และช่วงที่ 3 ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2565 เชื้อที่ระบาดทั้งหมดเป็นสายพันธุ์โอมิครอน จำนวน 58,106 ราย แบ่งผู้ป่วยออกเป็น 5 ช่วงอายุคือ 0-11 ปี 12-17 ปี 18-44 ปี45-59 ปี และมากกว่า 60 ปี จำนวนผู้ป่วยมากที่สุด อยู่ในช่วงอายุ 18-44 ปี เป็นจำนวนมากกว่า57 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยทั้งหมด โดยในทุกช่วงเวลาและช่วงอายุ จะมีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหนึ่งเข็ม สองเข็ม สามเข็ม และสี่เข็ม (จำนวนน้อยมาก)
ประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันการเสียชีวิต พบดังนี้
ช่วงที่ 1 วัคซีนหนึ่งเข็มป้องกันการเสียชีวิต70 เปอร์เซ็นต์ สองเข็มป้องกันการเสียชีวิต 96 เปอร์เซ็นต์สามเข็มป้องกันการเสียชีวิต 97 เปอร์เซ็นต์
ช่วงที่ 2 วัคซีนหนึ่งเข็มไม่ป้องกันการเสียชีวิต สองเข็มป้องกันการเสียชีวิต 93 เปอร์เซ็นต์ สามเข็มป้องกันการเสียชีวิต 98 เปอร์เซ็นต์
ช่วงที่ 3 วัคซีนหนึ่งเข็มไม่ป้องกันการเสียชีวิต สองเข็มป้องกันการเสียชีวิต 89 เปอร์เซ็นต์ และสามเข็มป้องกันการเสียชีวิต 99 เปอร์เซ็นต์
ประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อพบดังนี้
ช่วงที่ 1 วัคซีนหนึ่งเข็มป้องกันการติดเชื้อ13 เปอร์เซ็นต์ สองเข็มป้องกันการติดเชื้อ 71 เปอร์เซ็นต์สามเข็มป้องกันการติดเชื้อ 93 เปอร์เซ็นต์
ช่วงที่ 2 วัคซีนหนึ่งเข็มไม่ป้องกันการติดเชื้อ สองเข็มไม่ป้องกันการติดเชื้อ สามเข็มป้องกันการติดเชื้อ 68 เปอร์เซ็นต์
ช่วงที่ 3 วัคซีนหนึ่งเข็มไม่ป้องกันการติดเชื้อ สองเข็มไม่ป้องกันการติดเชื้อ สามเข็มป้องกันการติดเชื้อ 45 เปอร์เซ็นต์ และสี่เข็มป้องกันการติดเชื้อ 82 เปอร์เซ็นต์
ผู้รายงานได้สรุปว่า ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ควรจะเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือเข็มกระตุ้นโดยเร็วที่สุด เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้มากกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ และลดโอกาสการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนระหว่าง 37-64 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนสูตรไหน
ขณะนี้ จำนวนประชากรผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3หรือเข็มกระตุ้นเรียบร้อยแล้วยังมีอยู่เพียงแค่ 33 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ที่ควรจะได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหมด ซึ่งถือว่าต่ำมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและมีโรคเรื้อรัง ซึ่งตัวเลขย่อมจะต่ำกว่านี้มาก จึงเป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องให้ข้อมูลแก่ประชาชนให้มากที่สุด และรณรงค์ให้ประชาชน ส่วนที่เหลือ ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนทั้งเข็มที่ 1 เข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 ออกมารับการฉีดวัคซีนให้ครบอย่างน้อย 3 เข็ม ตามสูตรที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ไม่ให้เกินเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อจะทำให้การระบาดลดน้อยลง รวมทั้งการลดลงของอัตราการเสียชีวิต ให้ไปสู่เป้าหมายที่จะประกาศได้ว่า โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ได้อย่างแท้จริง
ขอขอบคุณข้อมูล จากคณะวิจัยของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งไว้ ณ ที่นี้
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี