เดอะ ดิโพลแมต สื่อเครือข่ายปฏิบัติการข่าวของสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council Of Foreign Relation=CFR) องค์กรนอกรัฐธรรมนูญที่มีอิทธิพลครอบงำนักการเมืองทุกฝ่ายในสหรัฐฯได้เปิดเผยผลสำรวจชนชั้นนำประเทศสมาชิกสมาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า “#น่าประหลาดใจที่ผู้ตอบผลสำรวจส่วนใหญ่คิดว่า วิกฤตการเมืองในพม่า ไม่เป็นความกังวลในอันดับต้นของความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์
ผลสำรวจที่รายงานโดย นายเดวิด ฮัตต์เปิดประเด็นว่า ...“การสำรวจความคิดเห็นภูมิภาคนี้แสดงให้เห็นว่าคนชั้นนำในประเทศอาเซียนไม่มีความกังวลประเด็นความขัดแย้งในพม่าอย่างน่าประหลาดใจ..” เขารายงานว่า การสำรวจของสถาบัน The ISEAS-Yusof Ishak เมื่อต้นเดือน เมษายน ถือได้ว่าไม่มีเรื่องเชิงบวกเลย อย่างไรก็ตามหากคุณวุ่นวายอยู่การสู้รบกับรัฐบาลทหารพม่าที่ป่าเถื่อน และมองหากำลังใจสนับสนุนจากเพื่อนในอาเซียนด้วยกันก็ลองหันไปดูผลสำรวจหน้า 16 ซึ่งคำถามข้อ 7 ถามว่า..“ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ไหนที่รัฐบาลของคุณกังวลมากที่สุด โดยเฉลี่ยผลสำรวจในภูมิภาคนี้ มีเพียง 26.6% ของผู้ตอบคำถามว่าวิกฤตการเมืองในพม่าเป็นหนึ่งในสามความกังวล แต่เป็นความกังวลน้อยกว่าการเลือกตั้งในสหรัฐ และส่วนใหญ่กังวลเรื่องวิกฤตการเมืองในพม่าน้อยกว่าความกังวลเกี่ยวพันกับการเลือกตั้งไต้หวัน และเกาหลีเหนือเดินหน้าทดลองอาวุธนิวเคลียร์
นี่เป็นเรื่องประหลาดที่ชนชั้นนำในอาเซียน มีความรู้สึกว่ารัฐบาลของพวกเขามีความกังวลน้อยกว่าเกาหลีเหนือจะเริ่มทำสงครามนิวเคลียร์ หรือภัยที่จีนอาจรุกรานไต้หวันตลอดถึงภัยคุกคาม หากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งกลับมาใหม่และนำนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนที่ขัดกับระเบียบโลกกลับมาใช้อีก..
วกกลับมาเรื่องพม่าดังที่กล่าวไว้ว่าเพียงประมาณหนึ่งในสามของผู้ตอบคำถาม ที่คิดว่ารัฐบาลของพวกเขากังวลน้อยมากเรื่องวิกฤตพม่า หากพูดถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และต้องยอมรับว่า 41% ของชนชั้นนำในประเทศไทยคิดว่าวิกฤตการเมืองพม่า เป็นความกังวลหนึ่งในสามความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่มีเพียง 12% ของคนลาวที่กังวล เรื่องวิกฤตการเมืองในพม่าและน้อยกว่าหนึ่งในห้าชนชั้นนำกัมพูชาคิดว่าวิกฤตพม่าอยู่ในสามอันดับภูมิรัฐศาสตร์
และหากคุณอยากเห็นประเทศสมาชิกอาเซียนสามัคคีกันทำงาน มุ่งมั่นแก้ปัญหาต้องนำผลสำรวจของชาวฟิลิปปินส์ มาร่วมพิจารณาพบว่า มีเพียง 2.3% ของฟิลิปปินส์โน คิดว่ารัฐบาลของพวกเขา มองว่า วิกฤตพม่าเป็นความสำคัญในอันดับต้นๆ เมื่อถามถึงสติปัญญาของผู้ตอบคำถามในเมื่อ 10% ของผู้ตอบคำถามมาจากพม่า ซึ่งอาจทึกทักเอาว่า 10% ของผู้ตอบคำถาม 190 คน คนกล่าวว่าวิกฤตที่มีอยู่ไม่ใช่หนึ่งในสามความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์
ผลสำรวจหน้าต่อไปที่ให้ผู้ตอบคำถามเลือกว่า #ฉันทามติห้าข้อของอาเซียน ข้อไหนที่คุณคิดว่าดีที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาพม่า คำตอบให้เลือก ก็คือ 1.ทั้งห้าข้อเป็นพื้นฐานความบกพร่องของการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน 2.ฉันทามติแสดงถึงความแตกแยกในอาเซียน 3.ฉันทามติไม่ได้ผลกับรัฐบาลทหารที่ดื้อรั้น 4.ฉันทามติของอาเซียนเหมาะสมที่สุดภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ และ 5.เป็นกลางหรือเฉยๆ กับฉันทามติห้าข้อ
ในสามข้อแรกมีคำตอบหลากหลาย ทำให้ความเห็นข้อหนึ่งตกมาอยู่อันดับสาม และเมื่อนำคำตอบข้อที่หนึ่งกับคำตอบข้อที่สาม รวมกันกลายเป็นคำตอบมากอันดับสอง
ส่วนคำถามที่ผู้ตอบไม่ต้องใช้ความคิดเลยคือข้อที่ 5 คำตอบว่า “ไม่มีความเห็นเรื่องนี้” ซึ่งเป็นคำตอบถึง 31.1% เฉลี่ยคำตอบทั้งภูมิภาคอนุมานได้ว่าชนชั้นนำในอาเซียนเฉยๆ กับฉันทามติห้าข้อของอาเซียน ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าฉันทามติห้าข้อ มีอะไรบ้างนั้นเอง
ผม (ฮัตต์) ขอย้อนกลับไปคำถามข้อที่ 9 ถามว่า“เพื่อผลักดันให้ฉันทามติห้าข้อ คืบหน้าอาเซียนควรทำคือ 1.พัวพัน (engaged) กับรัฐบาลทหารพม่า 2.จัดการเจรจาทวิภาคีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม รวมทั้งรัฐบาลเงา หรือ เอ็นยูจี เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ 3.สร้างกลไกประสานงานและสนองตอบต่อหุ้นส่วนนานาชาติ 4.ใช้วิธีการรุนแรงต่อรัฐบาลทหารพม่าที่ไม่ให้ความร่วมมือ 5.ให้รัฐบาลทหารเข้าร่วมกับการประชุมอาเซียนเพื่อผลักดันฉันทามติห้าข้อของอาเซียนให้นำมาใช้ในทางปฏิบัติได้ “น่าเสียดายที่ทางเลือกให้รัฐบาลทหารมาร่วมกิจกรรมอาเซียนเต็มรูปแบบมีผู้ตอบคำถามเพียงสิบคนเท่านั้น”
ผม (ฮัตต์) ขอย้อนกลับไปอีกหน่อย เพราะว่ามีเพียง 14.9% ที่ต้องการให้อาเซียนใช้มาตรการรุนแรงเช่น การคว่ำบาตรรัฐบาลทหารพม่าอย่างจริงจัง และ 13.0% อยากให้อาเซียนเข้าไปมีส่วนร่วมในองค์การนานาชาติ ประเด็นที่ผู้ตอบคำถามชอบมากที่สุด ถึง 38.6% คือ ให้อาเซียน “เจรจาทวิภาคีกับแต่ละกลุ่มผู้ได้เสียทั้งหมดทุกกลุ่มในพม่ารวมทั้งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ”
แต่โดยรวมตรรกะในคำถามยังลังเลที่บอกว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดรวมทั้งรัฐบาลทหาร สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันเพื่อผลลัพธ์อะไร? อาเซียนควรพัวพันกับรัฐบาลทหารและเอ็นยูจีในเวลาเดียวกันเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจแล้วต่อไปยังไง? จึงอนุมานว่า อาเซียนไม่ทำอะไรเลยตั้งแต่ต้นไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งจึงไม่มีฝ่ายไหนตกลงหยุดยิงหรือประนีประนอมกัน
ความเห็นของผม (ฮัตต์) คุณอาจทำให้ทุกฝ่ายเข้ามาพัวพันและทุกกลุ่มทุกคนพูดว่า เพื่อความไว้เนื้อเชื่อใจ แต่ก็ไม่มีความหมายอะไรนอกจากคุณนำมาใช้ในทางปฏิบัติ สำหรับผม (ฮัตต์) ทางเลือกนี้เชื่อมโยงกับบางอย่างที่อาเซียนไม่แทรกแซง มันดูดีและมีความหมายแต่แง่ผลกระทบ ที่ชนชั้นของอาเซียนต้องการความเป็นกลาง คือไม่แทรกแซง ดังนั้นอาจพูดได้ว่า 38% ของผู้ตอบคำถามไม่ต้องการให้แทรกแซงหมายความว่า ส่วนใหญ่ของอาเซียนไม่ต้องการให้อาเซียนทำอะไรที่ปฏิบัติได้ในความขัดแย้งพม่ามากกว่าพูดกับทุกฝ่าย
ดังนั้นไม่เพียงแต่ชนชั้นนำในอาเซียนคิดว่าสงครามในภูมิภาคไม่ใช่เป็นความสำคัญเป็นอันดับต้นของรัฐบาลพวกเขา และส่วนใหญ่ไม่มีทางเลือกที่แท้จริงแต่ผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่ประสงค์ให้รัฐบาลของพวกเขาเลือกใช้การตอบสนองว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือแม้แต่เข้าไปมีอิทธิพลในพื้นที่
ผู้อ่านที่ไม่คุ้นเคยกับปฏิบัติการข่าวของตะวันตกคงมีคำถามว่า วันนี้ทวนกระแสข่าวต้องการเสนออะไร คำตอบคือ อยากบอกว่า ทั้งสถาบันที่
ทำสำรวจและผู้นำเสนอ คือ เดวิด ฮัตต์ ไม่เข้าใจบริบทสังคมการเมืองอาเซียนอย่างแท้จริง จึงผิดหวังและประหลาดใจที่อาเซียนไม่ได้ตื่นเต้นตกอกตกใจกับวิกฤตการเมืองพม่า ที่สหรัฐปั่นกระแสความรุนแรงเลวร้ายมาตลอดเวลา 3 ปี CFR ผิดหวังมากที่ผลสำรวจออกมาพบว่า คนชั้นนำในอาเซียนคิดว่า การเลือกตั้งในสหรัฐ หากได้นายทรัมป์กลับมาน่ากลัวกว่าวิกฤตการเมืองในพม่า ที่สำคัญคนชั้นนำอาเซียน 38.7% เห็นว่าการพบปะพูดจากับทุกฝ่ายดังที่ทูตพิเศษอาเซียนจาก สปป.ลาว เริ่มทำแล้ว ดีกว่าใช้มาตรการรุนแรงกดดันดังที่สหรัฐและตะวันตกตลอดถึงยูเอ็นต้องการให้อาเซียนทำ
ผู้นำเสนอผลสำรวจคือ นายเดวิด ฮัตต์ ตกใจมากเมื่อพบว่าคนฟิลิปปินส์เพียง 2% เห็นว่ารัฐบาลพวกเขาให้ความสำคัญต่อวิกฤตพม่า ส่วนคนกัมพูชามีเพียงหนึ่งในห้าที่เห็นว่ารัฐบาลกัมพูชาให้ความสำคัญกับวิกฤตการเมืองพม่า ส่วนลาวซึ่งเป็นประธานอาเซียนมีเพียง 12% เท่านั้นที่เห็นว่าวิกฤตการเมืองในพม่าเลวร้ายจนน่าตกใจ
ผู้นำเสนอผลสำรวจ คงลืมไปว่า สปป.ลาวปกครองแบบคอมมิวนิสต์พรรคเดียว ส่วนชาวฟิลิปปินส์ที่เคยทนอยู่กับจอมเผด็จการมาร์กอส
กว่า 20 ปี และสงครามกลางในกัมพูชาที่คร่าชีวิตชาวกัมพูชาไปกว่าสองล้านคน ทั้งฟิลิปปินส์โนและคนกัมพูชามีประสบการณ์เลวร้ายกว่าวิกฤตการเมืองพม่าหลายเท่า แล้วอเมริกาจะให้พวกเขาตกอกตกใจเรื่องวิกฤตการเมืองในพม่า ตามอเมริกาปั่นกระแส มันเป็นไปไม่ได้
กล่าวโดยสรุปคือ ผลสำรวจที่ออกมาบ่งชี้ว่าปฏิบัติการข่าวของอเมริกาใช้ไม่ได้ผลกับคนอาเซียนทั้งๆ ที่ผู้นำเสนอยกย่องว่า ชนชั้นนำของอาเซียนเป็นผู้ตอบคำถามในการสำรวจ
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี