นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลาออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีต่างประเทศ ในวันเดียวกับที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี“เศรษฐา 1/1” ได้สร้างความงวยงงสงสัยให้กับเพื่อนสมาชิกอาเซียนด้วยกันว่า เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ที่อาเซียนมอบหมายให้เป็นหัวหอกแสวงหาแนวทางการเจรจาหาข้อยุติวิกฤตการเมืองในพม่าซึ่งกำลังเดินหน้าด้วยดี
นายปานปรีย์ ให้เหตุผลในการลาออกอย่างตรงไป ตรงมา ว่า เขาทำประโยชน์กับประเทศชาติได้มากกว่าในฐานะรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีต่างประเทศ “ผมทำงานเพื่อประเทศชาติได้ดีกว่า ได้รับเกียรติและความเชื่อถือจากต่างประเทศในฐานะรองนายกรัฐมนตรี..” นายปานปรีย์ ให้สัมภาษณ์นักข่าวจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งแหล่งข่าวทางด้านความมั่นคงและการต่างประเทศเห็นด้วยกับนายปานปรีย์ ที่ว่าในฐานะรองนายกรัฐมนตรี มิตรประเทศจะให้เกียรติให้ความเชื่อถือมากกว่า ฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศอย่างเดียว ดังนั้น การปลดเขาออกจากตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งถอด รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศออกไปเท่ากับตัดมือตัดเท้าเขานั่นเอง
“คุณปานปรีย์ทำถูกแล้วที่ลาออก เป็นการฉีกหน้านายเศรษฐาและให้บทเรียนแก่ผู้ที่มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลที่เข้ามาแทรกแซงงานในกิจการต่างประเทศ” แหล่งข่าวกล่าว และ อธิบายว่า นโยบายต่างประเทศของไทยในกรณีวิกฤตการเมืองในสหภาพพม่าอิหลักอิเหลื่อมานานกว่าสามปี เพราะผู้ปฏิบัติงานไม่แน่ใจว่านโยบาย หรือจุดยืนของรัฐบาลไทยให้น้ำหนักไปทางวอชิงตัน หรือหันมาทางปักกิ่ง ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันกับทั้งจีน ไทย พม่า และตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา อาเซียนล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการเมืองในพม่า เนื่องจากว่าประธานหมุนเวียนอาเซียนดำเนินนโยบายตามก้นอเมริกามากเกินไป..
“ประธานหมุนเวียนอาเซียนตั้งแต่บรูไน กัมพูชา และอินโดนีเซีย ล้มเหลวในการแก้ปัญหาพม่า เพราะใช้นโยบายตามก้นอเมริกามากเกินไป” และนโยบายของสหรัฐ คือ มาตรการข่มขู่ กดดัน คว่ำบาตรรัฐบาลทหารพม่าของ พลเอกมิน อ่อง หล่าย และผลักดันให้เกิดสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ทั่วประเทศพม่าให้ได้
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าว ในกระทรวงการต่างประเทศไทย กล่าวกับแนวหน้าว่า ตั้งแต่ สปป.ลาว เป็นประธานหมุนเวียนอาเซียน เมื่อต้นเดือนมกราคม 2567 เป็นต้นมา ปัญหาวิกฤตการเมืองในพม่าได้พัฒนาไปในทางที่ดีอย่างมีนัยเนื่องจากว่า สปป.ลาว ซึ่งมีชายแดนติดกับพม่าเหมือนกับประเทศจีน และ ไทย ลาวจึงเข้าใจบริบทการเมือง ทหารและสังคมพม่าลึกซึ้งดีกว่าชาติอาเซียนที่อยู่ไกลออกไป ไม่ว่าจะเป็น บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย ดังนั้น สปป.ลาว ในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียน จึงร่วมมือกับประเทศไทย ผลักดันการแก้ไขปัญหาวิกฤตการเมืองในประเทศพม่าให้คืบหน้าอย่างมีนัย..
“ปลัดกระทรวงการต่างประเทศพม่าเข้าร่วมประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เป็นครั้งแรกในรอบสามปี ทูตพิเศษอาเซียน นายอลุนแก้ว กิตติคุณ ได้พบปะเจรจากับ พลเอกมิน อ่อง หล่าย ประธานคณะผู้บริหารแห่งรัฐ (State Administration Council =SAC) นอกจากนั้น ทูตพิเศษอาเซียนยังได้พบปะเจรจากับผู้แทนกลุ่มชาติพันธุ์ในเบื้องต้น 7 กลุ่ม และนายอลุนแก้ว ได้ร่วมประชุมกับผู้แทน 40 พรรคการเมืองที่ลงทะเบียนไว้กับคณะกรรมการเลือกตั้งพม่า “สำคัญที่สุดประเทศไทยได้นำร่องเปิดระเบียงมนุษยธรรมโดยเริ่มส่งความช่วยเหลือพม่าตามฉันทามติ 5 ข้ออาเซียนแล้ว” แหล่งข่าวกล่าว
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 สภากาชาดไทย ได้ส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนเมียนมา ผ่านสภากาชาดเมียนมา บริเวณสะพานมิตรภาพ ไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กิ่งกาชาดอำเภอแม่สอด เป็นผู้แทนสภากาชาดไทย ส่งมอบถุงยังชีพจำนวน 4,000 ถุง ซึ่งบรรจุข้าวสาร อาหารแห้ง และของอุปโภคบริโภคอื่นๆ สำหรับประชาชนเมียนมา จำนวนประมาณ 20,000 คน ให้แก่ นาย โอง ไว ประธานสภากาชาดเมียนมา สาขาจังหวัดเมียวดี เพื่อส่งมอบต่อให้ชาวพม่าที่จำเป็นต่อไป
แหล่งข่าวกระทรวงต่างประเทศ กล่าวต่อไปว่า อาเซียนและสหประชาชาติมีฉันทามติให้ประเทศไทยเป็นหัวหอกในการแสวงหาแนวทางเจรจาเพื่อหาข้อยุติอย่างสันติวิธีจากทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีส่วนได้เสียในพม่า
“ภารกิจในการพบปะเจรจากับทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีส่วนได้เสียในพม่า ประเทศไทยจำเป็นต้องตั้งอนุกรรมการขึ้นมาศึกษา ตลอดถึงการปฏิบัติจริงหน้างาน และอนุกรรมการที่ว่าซึ่งต้องได้รับการแต่งตั้ง โดยรองนายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็ม” แหล่งข่าวกล่าวและอธิบายเพิ่มเติมว่า องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวพันกับภารกิจนี้ อาทิ กองทัพไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และ กระทรวงการต่างประเทศยังมีความแตกต่างกันใน
บางประเด็น
“พูดง่ายๆ คือ ผบ.สส.กับเลขาธิการสมช.ยังให้น้ำหนักทางวอชิงตันมากกว่าปักกิ่งในประเด็นวิกฤตการเมืองพม่า ผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลเลยเข้ามาแทรกแซงการทำงานกระทรวงการต่างประเทศ”แหล่งข่าวกล่าว และเสริมว่า ผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลเรียกผู้ปฏิบัติงานไปพบและสั่งการข้ามหัวรัฐมนตรีมาหลายครั้งแล้ว” ผมจึงพูดว่าท่าน(ปานปรีย์)ถอนสมอไปพร้อมกับเรือรบสหรัฐที่มาเทียบท่า ณ แหลมฉบัง..”
เรือบรรทุกเครื่องบิน Theodore Roosevelt และ เรือพิฆาตที่ 23 กองสหรัฐประกอบด้วยเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีที่ 9 (CSG-8) เรือธง และ กองบินประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน (CVW) ที่ 11 บนเรือ ได้เดินทางถึงท่าเรือแหลมฉบัง โดยมีเหล่านาวิกโยธินกว่า 6,000 นาย เรือทั้ง 4 ลำเทียบท่า ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เพื่อพักผ่อนระหว่างวันที่ 24-28 เมษายน และ กองเรือรบของสหรัฐถอนสมอออกจากท่าเรือแหลมฉบังไปในวันเดียวกันกับที่นายปานปรีย์ลาออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย
“คิดว่าท่าน(ปานปรีย์)อึดอัดมานานแล้ว และการเยือนของกองทัพเรือสหรัฐเป็นฟางชิ้นสุดท้ายบนหลังคาทำให้ท่านลาออก” แหล่งข่าวกล่าว และเสริมว่า กองทัพเรือ
สหรัฐที่ห่างหายไปจากท่าเรือกองทัพไทยสามปีกลับมาปรากฏตัวในยามที่การแก้ปัญหาพม่ากำลังคืบหน้าต้องมีนัยสำคัญในการแสดงพลังของฝ่ายโปรอเมริกา” แหล่งข่าวกล่าว
การลาออกของนายปานปรีย์ทำให้วอร์รูมแก้ไขวิกฤตการเมืองในสหภาพพม่าต้องชะงักไปอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์การเมืองมองว่าการลาออกในทันทีที่ถูกริบตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี เป็นการฉีกหน้านายเศรษฐา ทวีสิน ที่ให้เหตุผลในการปรับครม.แต่เพียงว่า “มีความจำเป็นต้องปรับครม.” โดยไม่ได้อธิบายว่าสาเหตุของความจำเป็น คืออะไร และใครสั่งให้ทำ
นอกจากนั้น มันยังเป็นบทเรียนแก่ผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลว่ารัฐมนตรีเด็กในคาถา ไม่ใช่ของตายที่สั่งให้หันซ้ายหันขวาได้อีกต่อไปที่สำคัญเขาคนนั้น ต้องสำเหนียกว่า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์มันเกินความสามารถเจ้าของคอกหมาจะควบคุมได้
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี