หลายคนยังมึนงงสงสัยกับสาเหตุที่รัฐมนตรีต่างประเทศไทยลาออกแบบสายฟ้าแลบว่า มันเกี่ยวกับฝ่ายโปรสหรัฐและฝ่ายอยู่ข้างจีนในการแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองในพม่าอย่างไร ขอนำ บทความจากหนังสือพิมพ์ นิคเคอิ เอเชีย ซึ่งเขียนโดย มิเชล แฮกซ์ อดีตผู้ประสานงานการโฆษณาชวนเชื่อของสถาบันนโยบายพม่า ในวอชิงตันมาให้อ่านประกอบความเข้าใจ
แฮกซ์ เปิดประเด็นว่าการรุกคืบฝ่ายต่อต้านเร็วๆ นี้ บ่งชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลทหารพม่าอยู่ในภาวะตั้งรับ ในเดือนเมษายน รัฐบาลทหารพม่าสูญเสียการควบคุมเมียวดี เมืองการค้าสำคัญใกล้ชายแดนไทย และก่อนหน้านั้นฝ่ายต่อต้านใช้โดรนถล่มเป้าหมายในเมืองหลวงเนปิดอว์ได้
แฮกซ์เขียนต่อไปว่ามันจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่ตะวันตกต้องทบทวนการช่วยเหลือฝ่ายต่อต้านว่า ความช่วยเหลือได้สร้างความแข็งแกร่งแก่กองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มากขึ้น ในความเป็นจริงกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ มีอุดมการณ์ชาติพันธุ์นิยมมากกว่าประชาธิปไตย ดังนั้นการบริหารจัดการกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้อย่างไรเป็นกุญแจดอกสำคัญสำหรับวอชิงตัน ที่จ่อจะให้ความเหลือช่วยเหลือด้านอาวุธยุทธภัณฑ์ แทนการส่งเสริมประชาธิปไตย
แฮกซ์บอกว่า สหรัฐไม่ควรวางเดิมพันไว้กับการโค่นล้มรัฐบาลทหารพม่า ที่ยังคงควบคุมเมืองใหญ่ๆ ไว้ได้ทั่วประเทศ สหรัฐต้องถอดบทเรียนหลังจากวอชิงตัน ได้รับบทเรียน ไม่สร้างสรรค์ในสงครามกลางเมืองซีเรียที่วอชิงตันให้ความช่วยเหลือปัจจัย ไม่ใช่อาวุธฆ่ากัน (Nonlethal Aid) ซึ่งมันเสี่ยงที่จะมีผลลัพธ์ที่วอชิงตันพยายามหลีกเลี่ยง
เดือนมีนาคมที่ผ่านมา สภาคองเกรส ได้ผ่านงบประมาณที่สหรัฐจัดสรรให้พม่าปีนี้ถึง 167 ล้านดอลลาร์ ยอดเงินที่เพิ่มสูงขึ้นรวมทั้ง 75 ล้านดอลลาร์ ช่วยเหลือผ่านชายแดน และ 25 ล้านดอลลาร์ ช่วยเหลือฝ่ายต่อต้านในการสนับสนุนปัจจัยที่ไม่เป็นอาวุธสังหาร (Nonlethal Aid) ให้กองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People Defense Forces=PDF)ที่ต่อสู้กับรัฐบาลทหาร :#การช่วยเหลือผ่านชายแดนคือให้เงินช่วยเหลือผ่านยูนิเซฟ ภาคประชาสังคม และเอ็นจีโอกลุ่มต่างๆ ที่เคลื่อนไหวตามชายแดนไทย-พม่า ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า ภาคประชาสังคมส่วนใหญ่ฝักใฝ่ฝ่ายต่อต้าน :ผู้เขียน
แฮกซ์เขียนต่อไปว่า วอชิงตันได้ทำอย่างนี้มาก่อน โดยใช้ภาษาเลี่ยงบาลีในการจัดสรรความช่วยเหลือให้กับผู้ก่อการร้ายในประเทศซีเรียที่เงินช่วยเหลือเป็น Non lethal แต่ก็ใช้ได้ในการซื้อชุดเกราะ รถหุ้มเกราะ ตลอดถึงหน่วยสืบราชการลับเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งและฐานที่มั่นศัตรู เงินจัดสรรให้ในส่วน Nonlethal Aid ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นอาวุธประหัตประหาร
ส่วนผลกระทบเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นกับสหรัฐ คือ ทำให้เพื่อนบ้านใกล้ชิดติดกับพม่าไม่พอใจที่อเมริกาเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งในพม่ามากเกินไป จีนได้เพิ่มความช่วยเหลือทุกด้านแก่รัฐบาลทหารพม่าและกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ใกล้ชายแดนจีนไปในเวลาเดียวกัน ส่วนประเทศอินเดียและประเทศไทย ซึ่งรับรองรัฐบาลทหารพม่าในทางพฤตินัย แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ทำเอาหูไปนาตาไปไร่ ปล่อยให้อาวุธหลั่งไหลผ่านชายแดนไปถึงมือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า
ความช่วยเหลือปัจจัยที่ไม่ใช่อาวุธอาจสร้างความปวดหัวแก่ระบบราชการของสหรัฐด้วยเช่นกันในขณะที่สหรัฐสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยในต่างแดน บัดนี้วอชิงตันได้สำเหนียกแล้วว่าประชาธิปไตยในพม่ามันซับซ้อนมากกว่าที่เห็นแค่ฉากหน้าประชาธิปไตยเมื่อคราวที่ อองซาน ซูจี เล่านิทานประชาธิปไตยให้นานาชาติฟัง
กองกำลังติดอาวุธที่มีอำนาจ คือ องค์กรนำในกลุ่มชาติพันธุ์ แต่พวกเขายินดีร่วมงานกองกำลังพิทักษ์ประชาชน หรือ (พีดีเอฟ จัดตั้งโดยซีไอเอ : ผู้เขียน) พีดีเอฟซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยคนหนุ่มสาวในเมืองใหญ่เพื่อตอบโต้การปราบปรามอย่างโหดร้ายของรัฐบาลทหาร พีดีเอฟเริ่มจากที่ไม่มีอาวุธหรือผ่านการฝึกใช้อาวุธต่อสู้ในสงคราม จึงจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากกองทัพกลุ่มชาติพันธุ์ พูดง่ายๆ คือพีดีเอฟ ยืมจมูกกลุ่มชาติพันธุ์หายใจ เช่น การสู้รบทางตะวันออกเฉียงเหนือพม่าในเขตสะไกน์ ที่กองทัพพม่าเสียพื้นที่ให้ฝ่ายต่อต้าน การโจมตีครั้งใหญ่ในเขตเมืองทุกครั้งกองทัพอิสรภาพ คะฉิ่น (Kachin Independence Army=KIA ) มีบทบาทสำคัญทั้งนั้นในการโจมตี
สหรัฐตั้งข้อสังเกตเรื่องที่ พีดีเอฟ ยืมจมูกกลุ่มชาติพันธุ์หายใจ และยอมรับต่อสาธารณะว่า สหรัฐเกี่ยวพันกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่านาย Derek Chollet ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศสหรัฐ โพสต์ข้อความบน X (ทวิตเตอร์) ว่า เขาได้พบกับผู้นำกองกำลังผสมฝ่ายต่อต้านทั้ง กะเหรี่ยง คะฉิ่น และ คะยา และได้แสดงความยินดีที่พวกเขาพยายามนำประชาธิปไตยสู่พม่า นั่นมันเป็นความพยายามของวอชิงตันที่เชิดให้กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์เป็นวีรชนกลุ่มใหม่ในพม่า แต่กองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์มีความผันแปรในแนวทางประชาธิปไตยของพวกเขาพวกได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าจังหวะไหนที่ฝ่ายประชาธิปไตยให้ประโยชน์สูงสุดแก่พวกเขา และ “ในความจริงที่โหดร้ายคือพม่ากำลังเคลื่อนเข้าสู่การปกครองแบบ#เขตมณฑล ของกลุ่มชาติพันธุ์”
ทฤษฎีนี้ผู้เขียนเห็นด้วยกับ มิเชล แฮกซ์ มองจากปรากฏการณ์ที่ฝ่ายต่อต้านพยายามตั้งเขตปกครองพิเศษของคนเอง เช่น ชาติพันธุ์ “โกก้าง” ทางเหนือรัฐฉานในเวลาเดียวกัน ว้า (Wa) ก็ตั้งเขตปกครองเป็นรัฐว้าอิสระ ส่วนพื้นที่ใกล้ชายแดนไทย กะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆก็จัดตั้งเขตปกครองตนเองขึ้น ใกล้ชายแดนอินเดียกลุ่มชาติพันธุ์ชิน (Chin ) ก็จัดตั้งเขตปกครองพิเศษ ชินเป็นรัฐอิสระ
แฮกซ์ บรรยายต่อไปว่า รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government=NUG) หรือ เอ็นยูจีรัฐบาลเงา ซึ่งเป็นแนวหน้าประชาธิปไตย ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียกร้องประชาธิปไตยจากต่างประเทศ ส่วนภายในประเทศพม่า เอ็นยูจี ได้แต่พึ่งพาผลงานการต่อสู้ของกลุ่มชาติพันธุ์ ดังนั้น การตกลงสันติภาพใดๆย่อมสะท้อนให้เห็นความสมดุลของกองทัพซึ่งดูเหมือนว่า ความสมดุลทางทหารของกลุ่มชาติพันธุ์ นำไปสู่การก่อตั้งองค์บริหารกิจการท้องถิ่นของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์มากขึ้นตามลำดับ
ดังนั้นจึงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ที่วอชิงตันที่จะเพิ่มระดับความรุนแรงในพม่าโดยการยกระดับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ให้พัวพันกับการต่อสู้ในสงครามกลางเมืองพม่า นอกเสียจากว่าสหรัฐทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เพื่อดึงให้จีนจมปลักในสงครามกลางเมืองพม่าลึกลงไปมากกว่านี้
แฮกซ์ เขียนด้วยว่า ในขณะที่อาเซียนมีแต่ได้กับได้ในเกมส์ที่จีนคานอำนาจกับสหรัฐในวิกฤตการเมืองพม่า ซึ่งผลลัพธ์ที่น่าจะเป็นไปในพม่า คือ ความตายและความรุนแรงเพิ่มขึ้น บางฝ่ายอาจมีข้อโต้แย้งว่าแบ่งแยกประเทศพม่าออกเป็นหลายส่วนเป็นความหวังดีที่สุด สำหรับสันติภาพถาวร แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในสภาบริหารท้องถิ่นของรัฐชิน แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกในกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งมันเป็นความซับซ้อนใหม่
ข้อนี้ผู้เขียนก็เห็นด้วยกับมิเชล แฮกซ์ ที่ว่า ความแตกแยกในกลุ่มชาติพันธุ์เป็นความซับซ้อนใหม่ที่โลกภายนอกไม่เข้าใจว่า ทำไมกลุ่มชาติพันธุ์ที่ขัดแย้งแตกแยกกันเองภายในแบ่งออกเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย ขอยกตัวอย่างเฉพาะชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่อยู่ใกล้ชายแดนไทยที่แบ่งแยกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ มีกะเหรี่ยง KNU กะเหรี่ยง DKBA กะเหรี่ยง KOTOOLAY กะเหรี่ยง BGF และกะเหรี่ยง KNUCP ในกลุ่มชาติพันธ์ุมอญ ก็มีมอญใหม่ มอญกู้ชาติ และมอญ BGF ชาติพันธุ์ฉานหรือไทใหญ่ ก็มีไทใหญ่เหนือ ไทใหญ่ใต้ เป็นต้น..
มิเชล แฮกซ์ สาธยายต่อไปว่า ความขัดแย้งภายในของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นเรื่องอ่อนไหวที่หาข้อยุติได้ยาก และความพยายามใดๆ ของวอชิงตันที่กำหนดผลลัพธ์ล่วงหน้าอาจล้มเหลวได้ ดังนั้น วอชิงตันควรลดความขัดแย้งภายในของกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยการเพิ่มสัดส่วนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและสร้างความเข้มแข็งให้ภาคประชาสังคม แทนสนับสนุนการต่อสู้เพิ่มขึ้น
กล่าวโดยสรุป คือ นายมิเชล แฮกซ์ ในฐานะอดีตผู้ประสานงานโฆษณาชวนเชื่อเตือนสหรัฐว่า การสนับสนุน PDF ให้โค่นล้มรัฐบาลทหารพม่านั้นมีแต่นำความหายนะมาสู่ทุกฝ่าย เพราะ PDF อาศัยจมูกกลุ่มชาติพันธุ์หายใจ ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากวอชิงตันนั้นไม่ได้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยดังที่อเมริกันเข้าใจ กลุ่มชาติพันธุ์มีเป้าหมายเพียงสร้างเขตปกครองตนเองเป็น“มณฑล”เท่านั้น สหรัฐจึงควรให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพม่ามากกว่าเอาอาวุธร้ายใส่มือกลุ่มต่างๆ ในพม่าให้ฆ่ากัน
ทั้งหมดนี้พอจะอธิบายได้ว่า เหตุที่นายปานปรีย์ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เพราะฝ่ายโปรตะวันตกที่มีอำนาจต่อรองเหนือกว่าเห็นว่าที่ผ่านมาสหรัฐทำถูกแล้วและให้ทำอย่างนั้นต่อไป
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี