ปรากฏการณ์ “ชัชชาติ” ของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีความพิลึกพิลั่นอยู่ที่ ความเกินพอดีของทั้งกองเชียร์และกองแช่ง

ปรากฏการณ์ยกทัวร์ไปถล่มเพจ จส.100 ซึ่งรายงานสภาพการจราจรมากว่า 30 ปี คือความด้อยปัญญาด้อยวุฒิภาวะของกองเชียร์

การค่อนแคะเรื่องลางานไปงานรับปริญญาลูก คือ ความไม่โตพอ ของกองแช่ง

จนนายชัชชาติของกล่าวในไลฟ์ระหว่างอยู่ที่อเมริกากับลูกชายว่า

“จะรีบกลับไป เห็นมีพวกเราบางคนก็บ่นว่า ลางานมาทำไม ก็ภารกิจจำเป็นครับ ต้องทำหน้าที่ครับ เดี๋ยวจะกลับไปทำงานให้ครบถ้วนที่ลาไปชดเชย”

1) เช้าวันที่ 9 มิ.ย. 2565 ก่อนเดินทางไปสหรัฐอเมริกา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ไลฟ์เฟซบุ๊คจากสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมระบุว่า วันนี้มาขอลาคนกรุงเทพฯ 4 วัน ไปรับปริญญาลูกชาย (นายแสนปิติสิทธิพันธุ์) ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยลูกชายรับปริญญาวันเสาร์ ตนจะบินกลับวันอาทิตย์ จะมาถึงไทยประมาณช่วงเย็นวันจันทร์ โดยตอนอยู่ที่อเมริกาก็จะพยายามไลฟ์กลับมา

“คิดอยู่นานว่าจะไปดีหรือไม่ เพราะเราเพิ่งรับงานใหม่ แต่ว่าเขาอยากให้ไปมาก และมันอาจเป็นหนเดียวในชีวิตที่ฝ่าฟันกันมา ก็เลยตัดสินใจไป” นายชัชชาติกล่าว และยังบอกอีกว่า “ที่จริงจะไปพรุ่งนี้แต่ไม่มีเที่ยวบิน จึงต้องเดินทางวันนี้แทน และจะเดินทางกลับวันจันทร์ ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางไปประมาณ 18 ชม.ระหว่างอยู่บนเครื่องบินก็จะอ่านหนังสือเพราะดาวน์โหลดหนังสืออี-บุ๊คไปแล้ว”

ทั้งนี้ ตนได้ลาราชการกับ รมว.มหาดไทยแล้ว วันนี้ก็จะขอลางานกับคนกรุงเทพฯ ก่อน แต่ได้สั่งงานไว้หมดแล้วและจะเชื่อมโยงงานตลอด ไม่ได้หายไปไหน ฝากคนกรุงเทพฯ ด้วย แล้วจะรีบกลับมาวันจันทร์

ระหว่างไลฟ์ในสนามบินสุวรรณภูมิก็มีคนมาขอถ่ายรูปอย่างต่อเนื่อง นายชัชชาติยังได้บอกแอดมินเพจว่า ระหว่างที่ตนเองไม่อยู่ ต้องไปไลฟ์งานต่างๆ ของ กทม. ตนจะได้รู้ว่ามีกิจกรรมอะไรด้วย ทำให้แอดมินแซวว่า นี่คือการตรวจงานจากเมืองนอก

2) ผมพยายามถามฝั่งที่แซะเรื่องชัชชาติลางานว่า มันเข้าใจยากตรงไหน ที่เขามีลูกชายที่ฝ่าฟันอุปสรรคทางร่างกายกันมา จนสามารถร่ำเรียนได้เหมือนคนทั่วไป และกำลังจะรับปริญญา มันคือวันพิเศษวันหนึ่งของพ่อกับลูก คุณไม่มีจิตใจของความเป็นมนุษย์ที่จะเข้าใจ “เรื่องแค่นี้” ได้ง่ายๆ หรอกหรือ

3) ผมนึกเวทนามาก กับข้อความของผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่โพสต์ว่า “...ขำ ตลกร้ายเสียจริง “ถ้าหยุด(งาน)ไป เวลาทำงานก็น้อยลง” แต่หลังจากทำงานไป 8 วัน….ผมขอลากิจ 4 วันนะครัช ลูกรับปริญญาที่ต่างประเทศ ในขณะที่ไอ้เฒ่าเป่าหูเด็กนักศึกษาในเมืองไทย “ไม่ไปรับปริญญา” ถ้าบริษัทของคุณ หรือหน่วยราชการของคุณมีคนเพิ่งมาทำงานใหม่ยังไม่ถึงเดือน แล้วเขาขอลากิจ! ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร หรือ เป็นผู้ร่วมงาน คุณจะคิดว่าอย่างไร?”

4) พลังของความเกลียดชัง ทำลายล้างการรู้จักยับยั้งชั่งใจ ความเห็นใจ เข้าใจ ใน “สาระหลัก” แล้วผลักเราออกมา “ตอด” กับคำเล็กคำน้อย หยุมหยิม วัยทอง กันได้ขนาดนี้แล้วหรือ? การลางานเป็นเรื่องทำได้ครับ ยิ่งการลานั้น มีเหตุมีผล ลองเป็นคนฝั่งเดียวกับเราลาสิ เรามีเหตุผลที่จะปกป้อง เอออวยได้สารพัดแหละครับ สภาพของชัชชาติเวลานี้ จึงเหมือน “ตุ๊กตาล้มลุก” อยู่ตรงกลางของแรงผลักสองข้าง

5) ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต นำเสนอบทความเรื่อง “ผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ และความท้าทาย” ในตอนหนึ่ง ท่านกล่าวว่า...หลังได้รับการประกาศรับรองให้เป็นผู้ว่าฯ กทม. แล้ว

“...นายชัชชาติก็ทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและมีการถ่ายทอดสดทุกวันๆ วันละประมาณ 3 กิจกรรม กิจกรรมที่นายชัชชาติได้กระทำในช่วงสองสัปดาห์แรกของการดำรงตำแหน่ง มีหลายอย่างด้วยกัน เช่น กิจกรรมที่เกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วม ทางเท้า จราจรติดขัด การก่อสร้างทางด่วน สิ่งแวดล้อม รถไฟฟ้าบีทีเอส การแสวงหาความร่วมมือในการทำสวนสาธารณะและปลูกต้นไม้ การร่วมมือกับผู้พิการ การป้องกันและตรวจสอบการทุจริต การจัดงานนันทนาการ ดนตรีในสวน เป็นต้น ผู้เข้าชมการถ่ายทอดสดและเข้าชมคลิปในภายหลังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงหาเสียง มีผู้เข้าชมคลิปของนายชัชชาติเฉลี่ยอยู่ในระดับหลักหมื่น แต่ในช่วงสองสัปดาห์หลังจากดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ ผู้เข้าชมเพิ่มสูงขึ้นเป็นระดับหลักแสน และหลายคลิปทะลุไปถึงระดับหลักล้าน จนมีการกล่าวกันว่านี่เป็น “ปรากฏการณ์ชัชชาติ”

...การถ่ายทอดสดวิธีการทำงานของนายชัชชาติ ทำให้คนจำนวนมากเห็นบุคลิก ทัศนคติ การสื่อสาร และพฤติกรรมของนายชัชชาติชัดเจนขึ้น บุคลิกที่ผู้คนสัมผัสได้คือ ความเป็นคนที่เข้าถึงง่าย ไม่ถือตัว แข็งแกร่งแต่ไม่แข็งกร้าว มีอัธยาศัยไมตรีที่ดี มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง และมีทัศนคติเชิงบวกในการรับมือกับปัญหา

...การพูดสื่อสารกับสาธารณะมีความกระชับชัดเจน ได้ใจความ เข้าใจง่าย พูดในเชิงให้กำลังใจแก่ผู้คน อธิบายเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและแนวทางการแก้ไข โดยใช้ข้อมูล บริบท เหตุผล และหลักการที่สะท้อนให้เห็นถึงการมีสติปัญญาที่เหมาะสมกับการเป็นผู้บริหารเมืองขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนอย่างกรุงเทพมหานคร

..การแสดงพฤติกรรม เห็นชัดถึงขยันขันแข็ง มีพลัง มีชีวิตชีวา ทุ่มเทในการทำงาน ให้เกียรติผู้อื่น อ่อนน้อมแสวงหาความร่วมมือและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย รับฟังความคิดเห็นผู้อื่นอย่างจริงจัง ไม่ตอบโต้ผู้วิจารณ์ แต่เลือกที่อธิบายชี้แจงอย่างสุภาพ คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น เมื่อมีเรื่องที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ก็ยอมรับว่าตนเองมีส่วนผิด เพื่อปกป้องผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าใจผิด รวมทั้งยอมรับและตระหนักถึงผลงานของผู้อื่น

...กล่าวได้ว่า เพียงสองสัปดาห์ที่นายชัชชาติเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ประชาชนเห็นผู้นำใหม่ที่มีกระบวนทัศน์การทำงานใหม่ ซึ่งแตกต่างจากผู้นำเก่าและกระบวนทัศน์การบริหารแบบเดิมที่เคยครอบงำการทำงานของกรุงเทพมหานครอย่างสิ้นเชิง ทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความรู้สึกเชื่อมั่นและศรัทธาต่อนายชัชชาติมากยิ่งขึ้น กระแสความชื่นชมศรัทธาขยายตัวออกไปในวงกว้าง ไม่เพียงแต่เฉพาะประชาชนในกรุงเทพมหานครเท่านั้น หากแต่ส่งอิทธิพลต่อความคิด
และความรู้สึกของประชาชนต่างจังหวัดไม่น้อยทีเดียว เมื่อประชาชนเกิดความศรัทธาต่อผู้นำ พวกเขาก็พร้อมให้ความร่วมมือและเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและช่วยพัฒนาเมืองอย่างกระตือรือร้น คนที่เคยรู้สึกเสียดายในยามต้องเสียภาษีให้กรุงเทพมหานคร ก็จะยินดีจ่ายภาษีให้อย่างเต็มใจ

...มากไปกว่านั้น วิธีคิด ท่วงทำนอง และความทุ่มเทการทำงานอย่างกระตือรือร้นของนายชัชชาติส่งผลกระทบทางบวกต่อการทำงานของข้าราชการกรุงเทพฯเป็นอย่างมาก เมื่อมีผู้นำทำเป็นแบบอย่างที่ดี ข้าราชการกรุงเทพฯ ไม่น้อยก็มีแนวโน้มปฏิบัติตาม ด้วยการทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ อันจะทำให้ประสิทธิภาพของกลไกราชการของกรุงเทพฯ ขยับขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการเน้นย้ำและทำเป็นตัวอย่างเรื่องความโปร่งใสและซื่อตรง ก็มีส่วนช่วยป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ไม่น้อยเช่นเดียวกัน

...อิทธิพลเชิงบวกของนายชัชชาติยังส่งผลต่อประชาชนอีกด้วย โดยเฉพาะเยาวชนคนหนุ่มอีกมาก ภาพของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เก่งทั้งวิชาการและบริหาร เข้าใจและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการทำงาน และทุ่มเทการทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ย่อมสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้คนจำนวนมากที่จะนำไปเป็นตัวแบบของพวกเขาทั้งในเรื่องการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตสัมพันธ์กับผู้อื่น

...กรุงเทพฯ ที่เคยเป็นยักษ์ที่งุ่มง่ามและสับสน ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยักษ์ที่ทรงพลัง ปราดเปรียว และมีทิศทางที่ชัดเจน หากนายชัชชาติสามารถรักษาแบบแผน ท่วงทำนองการทำงาน และการใช้ชีวิตสาธารณะในลักษณะนี้ได้อย่างต่อเนื่องคงเส้นคงวา ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า กรุงเทพฯ ใน 4 ปี ที่อยู่ภายใต้การนำของ
นายชัชชาติ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางสร้างสรรค์อย่างไม่เคยมีมาก่อน

...อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสความชื่นชมและความคาดหวังเชิงบวกต่อนายชัชชาติ มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มองนายชัชชาติแตกต่างออกไป กลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีความคิดทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมที่เข้มข้น มีความนิยมต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คนกลุ่มนี้รู้สึกขมขื่นและรับไม่ได้กับชัยชนะอย่างท่วมท้นของนายชัชชาติ พวกเขาไม่ไว้วางใจและมองนายชัชชาติด้วยความหวาดระแวงว่า ไม่มีความเป็นอิสระในการตัดสินใจและการบริหาร แต่อยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของเครือข่ายทักษิณ คนกลุ่มนี้จึงวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวหานายชัชชาติหลายประเด็นด้วยกัน เช่น ระบุว่าการถ่ายทอดสดในการทำกิจกรรมของนายชัชชาติเป็นการสร้างภาพประชาสัมพันธ์มากเกินไปหรือการกล่าวหาว่านายชัชชาติแย่งผลงานของอดีตผู้ว่าฯ คนก่อนมาเป็นของตนเอง เป็นต้น คนกลุ่มนี้จะตรวจสอบและจับผิดนายชัชชาติอย่างเข้มข้น เพื่อสลายความนิยมของนายชัชชาติ และป้องกันไม่ให้นายชัชชาติมีโอกาสบรรลุตำแหน่งสูงสุดในการบริหารประเทศระดับชาติในอนาคต...”

6) นายเสถียร วิริยะพรรณพงศา ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่องพีพีทีวี โพสต์เฟซบุ๊คให้ข้อชวนคิดว่า...

““ชัชชาติฟีเวอร์” กับบางอย่างที่หลงลืมไป!!!

การปรากฎขึ้นของกระแส “ชัชชาติฟีเวอร์” ต้องยอมรับว่ามันคือความหวังของผู้คน หลังจากที่รู้สึกหมดหวังมายาวนาน กระแสนี้เลยไม่ต่างกับคลื่นสึนามิ
ที่โถมเข้าถล่มรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ อย่างตรงๆ เกินจะหลบเลี่ยง

แต่ในสายตาของ “นักข่าว” คนหนึ่ง นอกจากจะรู้สึกดีที่เห็นผู้คนตื่นตัวทางการเมือง และจับจ้องการเคลื่อนไหวของผู้นำทุกฝีก้าว แต่ก็แอบกังวลเล็กๆ เพราะเขาคือคนที่เข้ามาบริหารงบประมาณปีละ 8 หมื่นล้านบาทซึ่งเป็นภาษีประชาชน และต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่รอยล้อมกทม.อยู่นั้นคือ “ผลประโยชน์มหาศาล”

ถ้าเราเชื่อว่าระบบการตรวจสอบ มีความสำคัญมากกว่า การเชิดชู “คนดี” แต่ไร้การควบคุม

สิ่งที่ “นักข่าว” คนหนึ่งมองเห็นคือ เขามาจากบริษัทอสังหาใหญ่ แต่งตั้งที่ปรึกษาก็มาจากกลุ่มอสังหาใหญ่เช่นกัน

และอำนาจผู้ว่าฯกทม. มีโอกาสที่จะเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนอสังหาได้ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำผังเมือง ความขัดแย้งระหว่างคอนโด กับชาวบ้านในพื้นที่ การตัดถนนหนทาง ที่ดินรอบๆรถไฟฟ้า

ทั้งหมดนี้ล้วนคือขุมทรัพย์ ผลประโยชน์ได้เสียของกลุ่มทุนอสังหา หมู่บ้าน คอนโดฯ ทั้งสิ้น

เขาและทีมจะรักษา “ระยะห่าง” จากที่มาของตัวเองได้มากแค่ไหน

แน่นอนว่าวันนี้อาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจทำอะไร เป็นช่วงทดลองงาน และในความรู้สึกประชาชนก็คือช่วงฮันนีมูน ข้าวใหม่ปลามัน ยังไม่มีอะไรต้องติ

แต่หลังจากนี้ก็ต้องตั้งหลักให้ดี

เราเคยเดินผิดทางจากการเชิดชูบุคคล แล้วยกย่องว่าเขาคือ “คนดี” มากกว่าคนอื่น สุดท้ายการตรวจสอบอ่อนแอ เสียใจกันมานักต่อนัก

เราให้กำลังใจคนดี ขณะที่การตรวจสอบก็ต้องเข้มข้น จะทำให้คนดีคนนั้น ยิ่งดีขึ้นไป อย่างที่คุณชัชชาติ เคยบอกว่าขอบคุณการตรวจสอบ เพราะการตรวจสอบทำให้คนดี สง่างามยิ่งขึ้น

สรุป : แพ้แล้วก็ควรมีวุฒิภาวะที่จะแพ้ ชนะแล้วก็เร่งรีบจัดทัพทำงาน

ผมคิดว่าชัชชาติยังไม่ได้ทำอะไรเสียหาย

นอกจาก “น่าหมั่นไส้” สำหรับคนบางจำพวก

กับข้อติติงเรื่องนำคนที่เคย “ปั่นหุ้น” มาทำงานใกล้ตัว โดยมีข้ออ้างที่ทำให้รู้สึกว่า ชัชชาติก็ไม่ได้เคร่งเรื่องความสง่างามสักเท่าใดนัก

ชัชชาติเหมือนพยายามจะเป็นคนกลางๆ ไม่อยู่ข้างฝ่ายใด แต่ก็รู้กันนัยๆ ว่าฝ่ายไหนที่เขาอยู่ เพียงแต่เขารู้จัก “กันตัวเอง” เอาไว้ในที่ทางและระดับที่เหมาะสม

ชัชชาติกำลังเลี้ยงกระแสตัวเองเพื่อ “ส่งต่อ” ให้พรรคการเมืองบางพรรค “ชนะง่ายขึ้น” ในกรุงเทพฯ

กองแช่งต้องมีสติ อย่าหยุมหยิม บ้าบอ จนกลายเป็นตัวเทียบที่ทำให้ชัชชาติดูสุขุม เยือกเย็นจงติดตามการทำงานของเขาด้วยความรู้ ด้วยความมีเหตุมีผล และมีสติ

เห็นการอวยเกินพอดีของกองเชียร์แล้ว

ก็ต้องเห็นการชังเกินพอดีของกองแช่งด้วย...เช่นกัน!!

โดยที่ในบรรยากาศแบบนั้น ชัชชาติยืนยิ้มและได้คะแนนบวกโดยไม่ต้องทำอะไร!!