การออกประกาศเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ให้กัญชาพ้นจากการเป็นสารเสพติดนั้น ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของหลายฝ่าย แต่ส่วนใหญ่ของคำวิจารณ์ จะมาจากฝ่ายที่ไม่อยากเห็นกัญชาเป็นที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายและบริโภคได้อย่างเสรี ทั้งนี้คงต้องติดตามดูรายละเอียดในพระราชบัญญัติกัญชากัญชง ซึ่งได้ผ่านการรับหลักการในการพิจารณาวาระแรกของสภาฯไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งแต่รวมแล้วไม่ควรเกินกว่า 30 วัน ในการพิจารณาแปลญัตติ ก่อนที่จะถูกนำกลับมาสู่การพิจารณาของสภาฯในขั้นตอนสุดท้ายและมีการลงมติ ซึ่งเมื่อผ่านการรับรองก็จะถูกนำ ขึ้นทูลเกล้าฯถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพิจารณาเห็นชอบและลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ต่อไป ก็หวังว่า การพิจารณาในขั้นแปลญัตติของคณะกรรมาธิการนั้นจะได้มีการพิจารณาตัวบทกฎหมายอย่างรอบคอบทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่นำมาสู่ผลกระทบต่อประเทศในระยะยาว
ในช่วงเวลานี้เรื่องของ กัญชาจึงกลายเป็นเรื่องที่บดบังเรื่องของโควิด-19 จนแทบจะไม่มีการกล่าวถึงโรคระบาดรุนแรงดังกล่าว แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องที่จะต้องทำให้ประชาชนอีกไม่น้อยมีความเข้าใจและตระหนักในเรื่องโควิด-19 อย่างถ่องแท้ ทั้งในระยะก่อนที่จะถึงวันประกาศว่าโรคนี้ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งหากไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นก็น่าจะยังเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม นี้ หรือแม้แต่หลังวันประกาศแล้วก็ตาม
การผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 นั้นได้เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ในหลายประเทศทั่วโลกแล้ว ทั้งนี้เป็นผลจากจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันในประเทศต่างๆ นั้น ได้ลดลงตามลำดับ รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตก็มีจำนวนลดลงเช่นเดียวกัน อันเป็นผลมาจากเชื้อโอมิครอนซึ่งเป็นเชื้อที่ระบาดอยู่เป็นตัวหลักในขณะนี้นั้นมีความรุนแรงน้อยลง
รวมทั้งประชากรทั่วทั้งโลกได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้วมากกว่า 1 หมื่น 2 พันส้านโดส จากจำนวนประชากรทั้งหมดประมาณ 7,500 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมทำให้โอกาสของการติดเชื้อลดน้อยลงและถึงแม้จะติดเชื้อก็อาจจะมีอาการเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย ยกเว้นในประชากรกลุ่มเสี่ยงดังเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
จนถึงขณะนี้ มีผู้ป่วยโควิดทั่วโลกเกิดขึ้นแล้วเป็นจำนวนมากกว่า 542 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตรวมมากกว่า 6.3 ล้านราย โดยในแต่ละวันจำนวนผู้ป่วยใหม่ทั่วโลกรวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงตามลำดับ ประเทศที่มีผู้ป่วยรายใหม่ต่อวันมากที่สุดยังเป็นสหรัฐอเมริกาซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ระดับ 8 หมื่นราย และเสียชีวิตน้อยกว่า 300 ราย ส่วนในทวีปยุโรป ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยรายใหม่มากที่สุดใกล้ๆ กับ 3 หมื่นรายต่อวัน และผู้เสียชีวิตอยู่ที่ระดับ 60 ราย ส่วนในประเทศไทยเรานั้นจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ต่อวันเริ่มต่ำกว่าระดับ 2,000 ราย และผู้เสียชีวิตน้อยกว่า 20 ราย ซึ่งยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นสัญญาณที่ดีและตอบรับการที่โรคนี้จะถูกเปลี่ยนจากโรคระบาดรุนแรงเป็นโรคประจำถิ่นต่อไป
ในประเทศไทยนั้นมีจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีน 1 เข็มแล้ว มากกว่า 56 ล้านราย หรือคิดเป็น81 เปอร์เซ็นต์ ได้รับวัคซีน 2 เข็ม แล้วมากกว่า52 ล้านราย คิดเป็น 76 เปอร์เซ็นต์ และได้รับเข็มที่ 3 หรือเข็ม Booster แล้ว 29 ล้านรายเศษ คิดเป็น 41 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะเห็นว่าจำนวนของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบเกณฑ์มาตรฐานและควรได้รับเข็มกระตุ้นแล้วยังมีจำนวนน้อยกว่า 60% ซึ่งเป็นเป้าที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งไว้ โดยคาดว่าหากมีประชากรได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นถึงระดับดังกล่าว จะทำให้จำนวนผู้ป่วยรายใหม่และผู้เสียชีวิตลดน้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ได้อีกมาก
ในส่วนของประชาชนนั้น ถึงแม้ว่าขณะนี้โควิด-19 ดูเหมือนว่าจะเป็นโรคที่ไม่เป็นอันตรายอีกต่อไปแล้วก็ตาม แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าโรคนี้ยังจะคงอยู่คู่กับโลกใบนี้ ไปอีกเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงประเทศไทยด้วย การที่โรคนี้จะถูกประกาศว่า เป็นโรคประจำถิ่นตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม นี้ ก็มิได้หมายความว่า จะมีผู้ป่วยรายใหม่น้อยลงกว่านี้มากนัก และผู้ที่เสียชีวิตจากโรคนี้ก็ยังจะมีอยู่บ้าง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนจะต้องรู้จักการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ และป่วย ซึ่งการที่จะทำให้เป็นอย่างนั้นได้นอกจากการที่จะต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่แออัดที่มีคนรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก การฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์และได้รับเข็มกระตุ้น รวมทั้งหมดเป็น 3 เข็ม อย่างน้อยนั้น ดังนั้น จึงยังเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่
ผู้ได้รับวัคซีน 2 เข็มแล้ว จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มเติม ในระยะเวลาตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข เพราะไม่ได้เป็นประโยชน์เพียงแต่ป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อและมีอาการป่วยเท่านั้น แต่ยังช่วยปกป้องบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในครอบครัวเดียวกันด้วย เพราะ หากมีการป่วยเกิดขึ้น ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องพักรักษาตัวโดยแยกตัวเองออกจากผู้อื่นอีกเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5-7 วัน และยังจะต้องพิจารณาถึงการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ต่อไปด้วย
ด้วยเหตุนี้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จึงได้มีข้อแนะนำในเรื่องของการฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันโรคในระยะยาว ดังนี้ 1.ผู้ที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบ 3 เข็ม ควรเข้ารับการฉีดให้ครบเพื่อเป็นพื้นฐาน ในการที่จะมีภูมิคุ้มกันเพียงพอ ซึ่งอาจจะป้องกันการติดเชื้อหรือหากมีการติดเชื้อก็มีอาการเพียงเล็กน้อย 2.ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มแล้ว ควรจะได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังจากฉีดเข็ม 3 แล้วประมาณ 4 เดือน เนื่องจากพบว่าไม่ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนชนิดใดหรือสูตรใดก็ตรวจพบว่าปริมาณของภูมิคุ้มกันจะลดลงทั้งนั้นตามระยะเวลาดังกล่าว ซึ่งทำให้มีโอกาสติดเชื้อง่ายขึ้นถึงแม้อาการจะไม่รุนแรง 3.ประชากรสูงอายุเกินกว่า 60 ปี และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 กลุ่ม ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งและโรคอ้วน รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ ที่รวมเรียกว่ากลุ่ม 608 ควรฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 4.บุคลากรทางด้านสาธารณสุข ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากที่สุด ควรฉีดวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม เป็นอย่างน้อย 5.เด็กอายุ 12-17 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการฉีด วัคซีน 2 เข็มแล้ว ควรเข้ารับการฉีดเข็มกระตุ้น ในช่วง 3-4 เดือน 6.เด็กอายุ 5-11 ปีซึ่งเพิ่งได้รับวัคซีน 1-2 เข็ม ยังไม่มีผลการศึกษาชัดเจนว่าควรจะฉีดเข็มกระตุ้นอีกเมื่อใด จึงขอรณรงค์ให้ประชาชนทุกคนรวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กทั้งหลายได้ตระหนักในเรื่องนี้และเข้ารับการฉีดวัคซีน ให้ครบตามเกณฑ์ที่ควรจะเป็น ส่วนในปีต่อๆ ไปนั้น จะต้องฉีดวัคซีนมากน้อยเท่าใด กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาและพิจารณา แต่ก็คาดว่าจะต้องฉีดทุกปีเช่นเดียวกับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
มีข้อมูลที่น่าสนใจจากการศึกษาของศาสตราจารย์แพทย์หญิงกุลกัลยา โชคไพบูลย์กิจ และศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5-11 ปี โดยพบว่าการใช้วัคซีนสูตรไขว้ซิโนแวคและไฟเซอร์ห่างกัน 4 สัปดาห์ พบว่ามีการสร้างภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม และการสร้างภูมิเกิดขึ้นเร็วกว่าด้วย เพราะมีระยะห่างระหว่างเข็มที่ฉีดเพียงแค่ 4 สัปดาห์เทียบกับการฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม ซึ่งต้องรอระยะเวลา 8 สัปดาห์
อนึ่ง การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ร่วมกับวัคซีนอื่นในวันเดียวกันก็ได้รับความเห็นชอบแล้วเช่นกัน ทั้งนี้ยกเว้นวัคซีนชนิดไวรัลเวกเตอร์ และวัคซีนชนิดเชื้อเป็นตัวอื่น เช่น วัคซีนโรคหัด อีสุกอีใส ไวรัสตับอักเสบและงูสวัด ซึ่งควรเว้นระยะอย่างน้อย 4 สัปดาห์
การประชุมคณะกรรมการศบค.ชุดใหญ่เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมานี้ ได้เห็นชอบที่จะผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ยกเลิกการลงทะเบียนเช้าประเทศที่เรียกว่า Thailand Pass และวงเงินประกันการเจ็บป่วย 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ สำหรับการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การอนุญาตให้เปิด สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ และการจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้จนถึง 02.00 น. โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ
ส่วนการใส่หน้าการอนามัยนั้น ก็ผ่อนปรนการใส่ในที่โล่งแจ้ง ระหว่างการออกกำลังกาย สวนสาธารณะ แต่ยังแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงยังควรใส่ต่อไป รวมทั้งการจัดงานที่มีคนจำนวนมาก เช่น คอนเสิร์ต ที่มีคนมาร่วมมากกว่า 2 พันคน ซึ่งหากประชาชนทุกคนใส่ใจและให้ความร่วมมืออย่างที่เป็นอยู่ในช่วง 2 ปีเศษที่ผ่านมา ก็เชื่อว่าบทสุดท้ายของโรคโควิด-19 คงจะมาถึงในระยะเวลาไม่นานจากนี้
การดำเนินชีวิตของผู้คนเริ่มกลับมาสู่สภาพปกติ นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับเข้าสู่ประเทศไทยขณะนี้วันละประมาณ 2-3 หมื่นราย และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นนิมิตหมายที่ดี แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยลบก็ยังมีอยู่เช่นราคาน้ำมันซึ่งปรับเพิ่มขึ้นเกือบจะทุกวัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นไปตามตลาดโลก อันเป็นผลกระทบมาจากสงครามยูเครน สภาพเศรษฐกิจครัวเรือนยังไม่ดีนัก แต่รัฐบาลก็มีโครงการที่จะเข้าไปช่วยเหลือประชากรกลุ่มที่มีรายได้น้อยอยู่ สินค้าส่งออกยังเป็นรายได้หลักสำคัญของประเทศ ก็ได้แต่หวังว่าเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศจะค่อยๆ ดีขึ้น และหากการเมืองอยู่ในสภาพนิ่งกว่านี้ ไม่มีการแย่งชิงอำนาจ และนักการเมืองยึดเอาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ประเทศไทยของเราก็น่าจะกลับมาสู่ความเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดอีกครั้งหนึ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี