วันเสาร์ ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“สภาพความตึงเครียดที่เกิดจากสมาชิกในครอบครัว ซึ่งเรารวบรวมตัวเลขนี้จากกรมสุขภาพจิต ซึ่งเราจะเห็นแนวโน้มความรุนแรงในครอบครัวที่มันเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงระยะเวลาของการระบาด ปี 2563-2564 เรามีการรายงานเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 42 อย่างในระหว่างปี 2563-2564 มีรายงานความรุนแรงในครอบครัวกว่า 2,000 ราย”
ข้อมูลจาก “รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2565 : ครอบครัวไทยในวิกฤตโควิด-19” ที่ตัวแทนคณะผู้จัดทำ รศ.ดร.ภูเบศร์ สมุทรจักร นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล หยิบยกมาบอกเล่าในเวที “Forum รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2565 :ชวนกันปักหมุดจุด Focus เร่งสร้าง ร่วมเสริม” เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ย่านงามดูพลี-สาทร กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ร้อยละ 68 รายงานด้วยว่า ไม่เคยพบเห็นปรากฏการณ์แบบนี้มาก่อนจนกระทั่งไวรัสโควิด-19 ระบาด
นอกจากข้อมูลในรายงานข้างต้น อีกด้านหนึ่ง “เมื่อประชากรวัยทำงานต้องเผชิญกับความเครียดเพราะนอกจากต้องหาเลี้ยงตนเองแล้วยังต้องเผื่อไปถึงผู้สูงอายุที่เป็นวัยพึ่งพิงด้วย ก็เป็นอีกปัจจัยของความรุนแรงในครอบครัว” ดังที่ช่วงหลังๆ จะเห็นข่าวเป็นระยะๆ กรณีลูกถูกสังคมประณามว่าอกตัญญูไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ แต่เมื่อสืบค้นต่อไปกลับพบว่าลูกก็น่าเห็นใจ เช่น เมื่อแพทย์หรือพยาบาลฝากให้ญาติช่วยดูเล ขอให้ทำสิ่งนั้น-ไม่ทำสิ่งนี้ เพื่อให้สุขภาพดีหรือรักษาอาการเจ็บป่วย พ่อแม่กลับไม่ปฏิบัติตามแล้วก็มีปากเสียงกับลูก เป็นต้น
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิตกล่าวถึงประเด็นเรื่องกระทบกระทั่งระหว่างพ่อแม่ที่เป็นวัยพึ่งพิงกับลูกที่เป็นวัยหาเลี้ยงครอบครัว ว่า “เรื่องนี้น่าเห็นใจทุกฝ่าย” โดย “ฝ่ายพ่อแม่เมื่อกลายเป็นผู้สูงวัยอายุมากขึ้นก็ต้องการการเอาใจใส่” เมื่อผู้สูงอายุต้องการการดูแลมากขึ้น ก็จะร้องขอจาก “คนรุ่นกลาง (Sandwich Generation)” หมายถึงคนที่ต้องดูแลทั้งคนรุ่นก่อนหน้าคือพ่อแม่ และคนรุ่นถัดไปคือลูก
ซึ่งคนรุ่นกลางที่ไม่มีเวลามากนักอาจเน้นไปดูแลลูกหรือวัยเด็กที่เพิ่งเกิดมามากกว่า ทำให้ผู้สูงวัยเรียกร้องแต่เมื่อไม่ได้ตามที่เรียกร้องก็เครียดมากขึ้น บางคนยิ่งไม่ได้ก็ยิ่งเรียกร้องมากขึ้น นำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัว รวมถึงความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน บางคนรู้สึกว่าทำไมแต่ก่อนตนดูแลลูกได้ วันนี้ลูกดูแลตนไม่ได้ เป็นต้นเรื่องนี้น่าเห็นใจผู้สูงวัย
“ก็เหมือนที่เขาบอกว่าพออายุเยอะขึ้นบางทีก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เดิมบางคนเป็นแบบผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเป็นคนสำคัญในบ้าน พออายุเยอะขึ้นก็เปลี่ยนแปลงสถานะตัวเองเป็นผู้ที่พึ่งพิงคนอื่นเยอะ ตัวเองเคยไปทำงานได้ มีชื่อเสียง มีคนยอมรับ กลายเป็นเริ่มทำงานไม่ได้ตามเดิมจากปัญหาสุขภาพทางกาย หรือแม้แต่ปัญหาวัยที่ไม่เหมาะสมกับการทำงานหนักๆ แล้วก็ตาม ตัวผู้สูงอายุเองก็เครียดในรูปแบบของตัวเอง” นพ.วรตม์ กล่าว
แต่ในขณะเดียวกัน “ด้วยสภาพเศรษฐกิจแบบที่เป็นอยู่ รวมถึงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ลูกซึ่งเป็นคนรุ่นกลางก็น่าเห็นใจ” เพราะเรื่องงานก็ไม่มั่นคงอีกทั้งยังต้องดูแลคนในบ้านทั้งผู้สูงวัยและเด็ก จึงเกิดความเครียดและนำไปสู่การกระทบกระทั่งกันได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะทะเลาะเบาะแว้งกันโดยจะพบในครอบครัวที่ขาดความสัมพันธ์ในบ้านที่ดีตั้งแต่แรก พอทุกคนมีปัญหา เกิดความเครียดและกระทบกระทั่งกัน พ่อแม่ด่าว่าลูกรุนแรง ลูกที่เป็นวัยทำงานก็ทนไม่ไหวแล้วนำพ่อแม่ไปทิ้ง นี่คือปลายทางจากหลายปัญหาที่เกิดขึ้น
โฆษกกรมสุขภาพจิต ให้ความเห็นว่า “โควิดนั้นขยายรอยแตกร้าวที่มีอยู่แล้วให้เห็นชัดเจนขึ้น” เช่น หากช่วงเวลาที่ผ่านมา ครอบครัวใดที่ใช้เวลาที่มีด้วยกันอย่างคุ้มค่าและมีประโยชน์มาตลอด เมื่อเกิดวิกฤตมักไม่พบปัญหา ตรงข้ามกับครอบครัวที่มีรอยแตกร้าวมีความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน เมื่อต้องอยู่ด้วยกันมากขึ้นแทนที่จะใช้เวลาอย่างมีคุณค่าร่วมกันกลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมาน เกิดการถกเถียงกันมากขึ้น ขุดอดีตมากขึ้น จากเดิมที่ช่วงปกติไม่มีเวลา ไม่ได้ลงไม้ลงมือกัน กลายเป็นว่าพออยู่ด้วยกันมากขึ้น โอกาสลงไม้ลงมือทำร้ายกันก็เพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ สำหรับคำว่าการใช้เวลาร่วมกัน กับการใช้เวลาอย่างมีคุณภาพร่วมกัน 2 คำนี้แตกต่างกัน โดยการใช้เวลาร่วมกัน อาจมีลักษณะพ่อเล่นมือถือ แม่เล่นแท็บเลต ลูกใช้คอมพิวเตอร์ ทุกคนอยู่ในห้องพร้อมกัน ณ เวลาเดียวกัน แต่ถามว่าเป็นเวลาคุณภาพหรือไม่นั้นก็ไม่ใช่ แต่การใช้เวลาอย่างมีคุณภาพร่วมกัน หมายถึงทุกคนมาพร้อมหน้าอยู่ด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งแม้จะมีเวลาน้อยเพียง 15-20 นาทีต่อวัน หากทุกนาทีเป็นเวลาคุณภาพ บางทีอาจเพียงพอแล้วก็ได้ เมื่อเทียบกับมีเวลา 2-3 ชั่วโมงต่อวัน แต่ใช้เวลาอย่างไม่มีคุณภาพก็ไม่เกิดประโยชน์
โดยในสถานการณ์ที่เลือกไม่ได้ ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน แต่สิ่งที่เลือกได้คือจะทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นอย่างไร ระหว่างพูดคุยกันดีๆ รับฟังกันมากขึ้น เข้าอกเข้าใจกัน แทนที่จะต่างคนต่างพูดในเรื่องที่ตนเองเครียดหรือไม่พอใจ ควรเปลี่ยนความคิดจากการมีเวลามากขึ้นหมายถึงมีเวลาพูดมากขึ้น เป็นการมีเวลาฟังคนอื่นๆในครอบครัวมากขึ้น หากได้ฟังกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ในครอบครัวดี สิ่งที่เป็นเรื่องเลวร้ายก็จะหายไป
“เรารู้อยู่แล้วว่าในอนาคตมันต้องมีการระบาดแบบนี้อีก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร ทีนี้สิ่งสำคัญคือเราต้องเรียนรู้จากวิกฤตแบบนี้ มันทำให้เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น คุณมี 2 ทางคุณสามารถใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันมากขึ้นปรับความเข้าใจกันทุกอย่าง จากเดิมที่เคยบาดหมางกัน เอาเวลามากขึ้นตรงนี้ที่อยู่ๆ ใครก็ให้มาไม่รู้ เอามาปรับความเข้าใจกัน อย่างที่ไม่เคยเข้าใจกันมาก่อน หรือคุณจะเลือกไปอีกทางหนึ่ง ทำให้รอยบาดแผลมันกว้างมากขึ้น เราเป็นหนึ่งในสมาชิกในครอบครัว เราเลือกได้” นพ.วรตม์ กล่าวทิ้งท้าย

ธีร์ Only Monday แจ้งความแล้ว ยันไม่ได้ปล่อยคลิป เผยรู้ตัวแล้วใครทำ
มันแปลกๆมั้ย ทนายเจมส์ เผย มีคนโทรถามหา พินัยกรรม ณัฐวุฒิ ปงลังกา หลังจากไป
ยุโรปลงดาบเอ็กซ์ ปรับอ่วม4.4พันล้าน ปมเครื่องหมายติ๊กฟ้าหลอกลวงผู้ใช้งาน
เช็กเลยที่ไหนบ้าง! การไฟฟ้านครหลวง แจ้งดับไฟ 6 ธ.ค.68 'กทม.-สมุทรปราการ-นนทบุรี' 19 จุด
สัปเหร่อ เล่านาทีเห็นร่าง ณัฐวุฒิ ปงลังกา มาถึงวัด รับมองไม่ออกว่าถูกวางยามาหรือไม่?

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี