“ช่วงที่เรายังไม่มีจุดหมุนจุดเปลี่ยนอะไร เช่น ใน อ.เมือง ช่วง 4-5 โมงเย็น ใส่กัน 80% ส่วนอำเภอนอกๆ ก็สักครึ่งหนึ่งแต่หลังจากสัก 2 ทุ่ม อันนี้คือ 52% แล้วก็ในรอบนอกเหลือเพียง 10 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ยังใส่หมวกกันน็อกกันอยู่ แล้วทำไมไม่ใส่? ไม่มีใครจะดูแลกลางคืน ตำรวจก็กลับเข้าที่ตั้ง มันไม่เหมาะสมที่ตำรวจจะไปยืนกำกับหรือมีการตั้งด่านกลางคืน เพราะจะประจันหน้าทะเลาะกันเปล่าๆ”
นพ.ธีรวุฒิ โกมุทบุตร ที่ปรึกษา สอจร.ภาคเหนือกล่าวในวงเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “จุดเปลี่ยนเมื่อสวมหมวกกันน็อก” จัดโดย แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงสถานการณ์อุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ (จักรยานยนต์) ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งจากประสบการณ์เป็นแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) มาตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงเกษียณ “ป้องกันดีกว่ารักษา” เป็นบทสรุปที่ชัดเจน
โดยผู้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ข้อมูลเมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน พบกระจุกอยู่ใน 5 อำเภอ คือ อ.เมือง อ.สันทราย อ.สารภี อ.แม่ริม และ อ.หางดง อยู่ที่กว่า 200 รายต่อปี แต่ถ้านับทั้งจังหวัดจะสูงถึงเกือบ 400 ราย และความสูญเสียส่วนใหญ่เกิดในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน เพราะเป็นเวลาที่สวมหมวกกันน็อก (หมวกนิรภัย) ค่อนข้างน้อย ซึ่งสาเหตุที่คนไม่สวมหมวกกันน็อกในเวลากลางคืน มาจากการขาดงบประมาณสนับสนุนทั้งการประชาสัมพันธ์ การทำงานนอกเวลาราชการของเจ้าหน้าที่ และการนำเทคโนโลยีมาใช้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นของ จ.เชียงใหม่ ประกอบกับได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ Safer Roads Foundation (SRF) พัฒนาระบบกล้องวงจรปิดที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตรวจจับผู้ไม่สวมหมวกกันน็อก ทดลองใช้ใน 5 อำเภอเสี่ยงสูงข้างต้น พบว่า ในพื้นที่ อ.เมือง ก่อนปี 2563 อัตราการสวมหมวกกันน็อก อยู่ที่ร้อยละ 60.17 แต่ในเดือน มิ.ย. 2565 พบว่าเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 82.36 หรือหากดูค่าเฉลี่ยรวมทั้ง 5 อำเภอ พบว่า ก่อนปี 2563 อัตราการสวมหมวกกันน็อก อยู่ที่ร้อยละ 54.54 แต่ในเดือน มิ.ย. 2565 พบว่าเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 79.57
นพ.ธีรวุฒิเล่าต่อไปว่า การพัฒนาซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์เพื่อตรวจจับผู้ไม่สวมหมวกกันน็อก เป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นโดยฝีมือคนไทย เนื่องจากไม่พบการพัฒนานวัตกรรมแบบเดียวกันในประเทศที่เจริญแล้วซึ่งหลังจากนำมาทดลองใช้ใน 5 อำเภอ พบสามารถตรวจจับได้หลักหลายร้อยรายต่อวัน จากเดิมที่ใช้วิธีให้เจ้าหน้าที่มาคอยนั่งดูผ่านจอมอนิเตอร์ ที่ตรวจจับได้เพียงหลักสิบรายต่อวัน จากนั้นนำมาคัดเลือกให้เหลือภาพที่เห็นรายละเอียดชัดเจนจริงๆ เพื่อส่งใบสั่งไปให้มาเสียค่าปรับตามกฎหมาย พร้อมกับส่ง “ใบเตือน” ให้ปรับพฤติกรรมด้วย
“เรารู้ดีว่าถ้ามีจักรยานยนต์ 3,000 คัน ไม่สวมหมวกนิรภัย จะต้องมีคนหนึ่งตายใน 1 ปี เชียงใหม่มีจักรยานยนต์ตั้งล้านคัน กลายเป็นว่ามหาศาลแน่นอนจากจักรยานยนต์ ข้อมูลที่ผมเรียงลำดับอย่างซับซ้อน ขอ Simplify (อธิบายให้เข้าใจง่าย) ว่าการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นโดยการใช้เทคโนโลยีในการจับภาพคนไม่สวมหมวก ซึ่งเถียงไม่ได้ ไม่เหมือนกับการตั้งด่าน เถียงกันอยู่ใกล้นิดเดียว
ไม่ต้องเถียงกัน เพราะว่ามันเป็นสี่แยกจุดยุทธศาสตร์ ที่เรารู้ว่าการจะผ่านจุดนี้มันต้องมาไกลพอสมควร แล้วจะต้องไปไกลพอสมควร เอาแค่จุดยุทธศาสตร์ เมื่อเถียงไม่ได้แล้วเขาเห็นหลักฐานชัดเจน รวมถึงมีใบแสดงปรารถนาดีโน้มน้าวให้รู้สึกว่าไม่ได้จับปรับเพราะเอาสตางค์ จับปรับเพื่อปรับพฤติกรรม” นพ.ธีรวุฒิ กล่าว
นพ.ธีรวุฒิ ยังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม “การใช้เทคโนโลยีต้องมาพร้อมกับการประชาสัมพันธ์ด้วย” โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสื่อมวลชนท้องถิ่นใน จ.เชียงใหม่ มีการเสนอข่าวแจ้งประชาชน เช่น ประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2563 เป็นต้นไป จะเริ่มใช้ AI มาตรวจจับผู้ไม่สวมหมวกกันน็อกใน 5 อำเภอ และย้ำว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายด้วยความหวังดีต้องการลดการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนเอง ซึ่งการประชาสัมพันธ์แบบนี้จะช่วยลดแรงต่อต้านจากประชาชน ดีกว่าอยู่ๆ ก็ไปเข้มงวดจับกุมทันทีซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจเจ้าหน้าที่
คุณหมอท่านนี้ยังยกตัวอย่าง “ความสูญเสียและความทุกข์ทรมานของคนใกล้ชิด” มาบอกเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ เมื่อพ่อแม่ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้ลูก แต่ไม่ได้เน้นย้ำเรื่องการสวมหมวกกันน็อกเพื่อความปลอดภัย ในวันที่เกิดอุบัติเหตุ บางรายแพทย์ทำได้เพียงรักษาให้สมองมีชีวิต แต่ผู้บาดเจ็บมีสภาพติดเตียงซึ่งพ่อแม่ดูแลอยู่ได้เพียง 1 เดือนเศษๆ ก็เสียชีวิตเพราะติดเชื้อจากแผลกดทับที่เริ่มเน่า หรือบางรายสมองก็ถูกทำลายจนใช้ชีวิตได้ไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ แม้จะขยับร่างกายได้ แต่ก็ไม่สามารถไปเรียนหนังสือหรือทำงานตามปกติได้ เป็นที่น่าเวทนาต่อผู้พบเห็น
จากภาคเหนือสู่ภาคใต้ วรรณี มีขวด พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ งานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช บอกเล่าถึงหลายกรณีที่สะเทือนใจ เช่น สามีมาโรงพยาบาล เมื่อถามว่าทำไมภรรยาไม่มาด้วย ก็ได้รับคำตอบว่า เมื่อ 10 ปีก่อน ลูกชายเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์ ตั้งแต่นั้นภรรยาก็มีอาการหวาดกลัวโรงพยาบาลและไม่กล้ามาอีกเลย เพราะเพียงเห็นโรงพยาบาลภาพฝันร้ายในอดีตก็จะตามมาหลอกหลอนทันที
หรืออีกกรณีหนึ่ง วัยรุ่นชายอายุ 15 ปี ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเกิดอุบัติเหตุและสมองได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ต้องกลายเป็นคนพิการ “จากครอบครัวฐานะดี..ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากอุบัติเหตุของลูกชายเพียงครั้งเดียว”ผู้เป็นแม่จากที่สามารถเดินทางจาก จ.นครศรีธรรมราช ไปโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ได้เรื่อยๆ ก็ต้องหยุดไป พี่ๆ ที่กำลังเรียนในระดับมหาวิทยาลัยก็ต้องหยุดเรียนเพราะต้องมาช่วยกันดูแลน้อง รวมถึงต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากไปกับค่าวัสดุอุปกรณ์ในการดูแล เนื่องจากสวัสดิการของรัฐช่วยได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น
“ขับมอเตอร์ไซค์ไม่ใส่หมวกกันน็อก เป็นเคสปกติที่เราจะเจอได้บ่อยมาก อยู่ที่ห้องฉุกเฉินเราเห็นพ่อหรือแม่ได้ข่าวว่าลูกขับมอเตอร์ไซค์แล้วบาดเจ็บมานอนโรงพยาบาล ส่วนมากไม่ค่อยคิดว่าจะตาย ก็มาด้วยความหวัง คิดว่าลูกเขาน่าจะปลอดภัย มาถึงบอกเราเดี๋ยวจะขอห้องพิเศษ แต่จริงๆ ลูกเขาตายแล้วและเราไม่รู้จะบอกเขาอย่างไร แต่มันจำเป็นต้องบอก แล้วเราได้เห็นอาการที่เรียกว่าล้มทั้งยืนอยู่บ่อยๆ เหมือนกันที่ห้องฉุกเฉิน” วรรณี ระบุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี