ประเทศไทยยังคงมีนายกรัฐมนตรีที่มีชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นะครับ อย่าได้เข้าใจกันผิดๆ ว่าท่านได้พ้นจากตำแหน่งไปเรียบร้อยแล้ว เพราะคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมานั้นเพียงแต่บอกให้ท่านหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวในฐานะนายกรัฐมนตรีไปก่อนจนกว่าศาลจะวินิจฉัย จากกรณีที่พรรคฝ่ายค้าน ได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่านครบ 8 ปีตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดแล้วหรือยัง
ซึ่งมีการตีความในเรื่องนี้จากหลายฝ่ายที่ไม่ตรงกัน ซึ่งท่านนายกฯประยุทธ์ก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญโดยมิได้โต้แย้งแต่ประการใดทั้งสิ้นอันเป็นการแสดงว่าท่านปฏิบัติตนตามกฎหมาย ซึ่งยืนยันถึงการยอมรับในวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องที่นักการเมืองทุกฟากฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ตลอดจนประชาชนคนไทยทุกคน ควรจะยึดแนวทางปฏิบัติเช่นนี้โดยไม่มีการสร้างกระแสโดยการใช้สื่อต่างๆ หรือที่หลายคนเรียกอยู่ในขณะนี้ว่าเป็น Soft Power ในการชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือหลงผิดจนเชื่อว่าสิ่งที่ถูกปลุกประเด็นขึ้นมานั้น จากเรื่องที่ไม่ถูกต้องกลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องได้ เมื่อพรรค กลุ่มหรือพวกของเราถูกอกถูกใจก็บอกว่ายุติธรรม แต่ถ้าไม่ถูกใจก็บอกว่าไม่ยุติธรรม อันเป็นเรื่องที่ไม่ดีต่อประเทศชาติโดยส่วนรวมอย่างแน่นอน
และไม่ว่าใครจะเป็นผู้ที่รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ย่อมจะกระทำการใดๆ ได้ที่ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่มีอยู่ อย่างเช่นกรณีที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ที่มีการระบุไว้ชัดเจนว่าผู้รักษาการนายกรัฐมนตรีนั้นจะต้องไม่เป็นผู้พิจารณาอนุมัติในเรื่องของงบประมาณแผ่นดิน และระบบบริหารงานบุคคล ซึ่งก็ต้องปฏิบัติตามนั้นอย่างเคร่งครัด และบางเรื่องที่จะต้องตัดสินใจก็น่าจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีด้วย
ประชาชนชาวไทยจึงต้องรอต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินวินิจฉัยว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสิ้นสุดลงเมื่อใด และก็หวังว่าไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไร พรรคการเมืองทุกพรรค องค์กรต่างๆ รวมทั้งประชาชนทุกคนจะยอมรับในสิ่งที่ได้เกิดขึ้นตามทำนองคลองธรรมในระบอบประชาธิปไตย กันทั้งหมด
ขอกลับมาเล่าสู่กันฟังในส่วนของโรคโควิด-19เช่นเคยนะครับ ว่าสถานการณ์ของโรคระบาดใหญ่นี้กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่โรคระบาดที่ควรเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม นี้ เป็นต้นไป โดยจำนวนของผู้ติดเชื้อและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในขณะนี้ก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,800 รายในแต่ละวัน และจำนวนผู้เสียชีวิตก็ลดลงมาต่ำกว่าระดับ 30 ราย ต่อเนื่องกันมานานพอสมควรแล้ว ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ดำเนินการในการนำเสนอข่าว สื่อสารและชี้แจงในเรื่องของสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป รวมทั้งการปฏิบัติตัวของประชาชนทุกคนมาไว้มากแล้ว ซึ่งผมจะขอแยกการชี้แจงนี้ออกเป็น 3 ส่วนใหญ่
ส่วนแรกคือการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ หรือเมื่อติดเชื้อแล้วมีอาการเพียงเล็กน้อยที่จะไม่นำไปสู่การเสียชีวิต ซึ่งในเรื่องนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเข้ารับการฉีดวัคซีนของประชาชนทุกกลุ่มทุกอายุที่มีข้อบ่งชี้ซึ่งปัจจุบันก็ได้ลดอายุของเด็กที่สามารถให้รับการฉีดวัคซีนได้ลงมาเหลือที่อายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
โดยมีข้อแนะนำว่าทุกกลุ่มของประชาชนนั้นควรจะได้รับการฉีดวัคซีนชนิดใดก็ตามอย่างน้อยที่สุด3 เข็ม และหากเข็มสุดท้ายเป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ ก็น่าจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับที่สูงพอเพียงต่อการป้องกันการติดเชื้อที่จะทำให้เกิดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตได้ โดยในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานคร สำนักอนามัยของกรุงเทพมหานคร ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ที่สถานีกลางบางซื่อ โดยอาจจะลงทะเบียนล่วงหน้าหรือไปยังสถานที่ฉีดวัคซีนได้เลยโดยไม่ต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า และยังสามารถจะขอรับการฉีดวัคซีนโดยเลือกชนิดได้ตามความประสงค์ ภายใต้การร่วมพิจารณาของแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวด้วย แนวโน้มในปัจจุบันพบว่าสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มเกินกว่า 3 เดือนไปแล้ว อาจจะขอเข้ารับการฉีดเป็นเข็มที่ 4 ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้นั้นเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโดยง่าย
ในเรื่องการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ที่เป็นชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ ในเด็กอายุตั้งแต่ 13-18 ปีนั้น มีข้อมูลจากการวิจัยซึ่งยังอยู่ระหว่างการรอตีพิมพ์ของคณะแพทย์ในประเทศไทยว่า อาจจะทำให้เกิดปัญหาในผู้ที่ได้รับการฉีดที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติต่างๆ ของระบบหัวใจและหลอดเลือดนั้น ก็ขอเรียนว่าอาการที่เกิดขึ้น เช่น หัวใจเต้นเร็วขึ้น มีอาการใจสั่น มีอาการเจ็บหน้าอก คลื่นไฟฟ้าหัวใจเปลี่ยนแปลง หรือเอนไซม์ของหัวใจเพิ่มสูงขึ้น เหล่านี้ มีโอกาสจะเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ได้รับวัคซีนที่ถือเป็นกลุ่มศึกษาจำนวน 301 ราย โดยพบว่ามีอาการดังกล่าวได้เกือบจะ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็พบว่าอาการเหล่านี้ไม่มาก เกิดขึ้นชั่วคราวและหายได้ในระยะเวลาประมาณ 14 วัน และผมเชื่อว่าจะมีการรวบรวมข้อมูลการศึกษาในรูปแบบเดียวกันนี้จากสถาบันต่างๆ และมีจำนวนของผู้ที่เข้าสู่การศึกษามากเพียงพอที่จะมีข้อสรุปอย่างแท้จริงในอนาคต
จึงเป็นเรื่องที่ยังไม่น่าจะต้องวิตกกังวลจนเกินไป เพียงแต่เมื่อได้รับการฉีดวัคซีนแล้วก็ให้สังเกตความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้น และรีบไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำปรึกษาหรือเข้าสู่กระบวนการรักษาหากมีความจำเป็น ก็เป็นเรื่องที่น่าจะพอเพียง
ส่วนที่ 2 ที่จะขอนำเสนอ คือเรื่องของการเข้าสู่กระบวนการรักษาในกรณีที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อและตรวจพบว่า ผลการตรวจด้วยวิธี ATK ไม่ว่าจะทางช่องโพรงจมูกหรือตรวจน้ำลายให้ผลเป็น 2 ขีดในชุดตรวจ ซึ่งแสดงว่าน่าจะติดเชื้อจริง ก็ให้เข้าสู่การรักษา โดยให้สังเกตอาการของตัวเองเป็นสำคัญร่วมกับพิจารณาว่าตัวเองนั้นอยู่ในกลุ่มเสี่ยงคืออายุมากกว่า 60 ปี และมีโรคเรื้อรังกลุ่ม 608 หรือไม่ โดยหากไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและมีอาการเพียงเล็กน้อย อาจจะติดต่อขอรับยาได้จากร้านขายยา ซึ่งร่วมกันกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในโครงการเจอแจกจบ ซึ่งจะได้พบกับเภสัชกรที่จะให้คำแนะนำ และจัดยาให้ทานตามความจำเป็นในการรักษา เช่นเดียวกับคลินิกชุมชนจำนวนไม่น้อยซึ่งเข้าร่วมโครงการด้วย หากยังไม่แน่ใจก็สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิพื้นฐานของระบบประกันสุขภาพต่างๆ
ทั้งระบบบัตรทอง ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ รวมทั้งของรัฐวิสาหกิจทั้งหลาย ซึ่งก็จะได้รับการรักษาตามรูปแบบเดียวกัน โดยการที่จะได้รับยารักษาไวรัส ที่คุ้นเคยชื่อกันดีแล้วคือยาฟาวิพิราเวียร์หรือโมลนูพิราเวียร์นั้น ก็จะเป็นไปตามดุลยพินิจของแพทย์ ที่ได้รับข้อมูลจากผู้ป่วยทั้งในเรื่องของประวัติและอาการรวม ทั้งการตรวจร่างกายเท่าที่จำเป็น และจะมีผู้ป่วยเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่แพทย์ตรวจแล้วพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงและมีอาการมากพอสมควรซึ่งเมื่อส่งข้อมูลอาการเหล่านี้เข้าสู่การประเมินของสำนักการแพทย์ฉุกเฉินแล้วพบว่าเข้าข่ายของการเป็นผู้ป่วยสีเหลืองเข้มหรือแดงคือผู้ป่วยวิกฤต จึงจะได้รับการรับเข้าไว้รักษาในโรงพยาบาลต่อไป โดยที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ควรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ส่วนที่ 3 คือการดูแลป้องกันตัวเองให้พ้นจากการได้รับเชื้อหรือติดเชื้อ ซึ่งหากกระทำได้ดี ก็อาจจะรอดพ้นจากการเป็นโรคได้ นั่นก็คือการที่ยังต้องใส่หน้ากากอนามัยให้มิดชิดอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อออกจากบ้านหรือสถานที่พักของตัวเองไปในบริเวณที่มีผู้คนจำนวนมากพอสมควร ซึ่งต้องรวมไปถึงการไม่คลุกคลีกับบุคคลอื่นๆ เป็นลักษณะกลุ่มก้อนโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย นอกจากนี้การล้างหรือทำความสะอาดมือบ่อยๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคซึ่งที่ยังใช้ได้ผลดียังคงเป็น 75 เปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์ไม่ว่าจะเป็นแบบน้ำหรือแบบเป็นเจลก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอมิครอน BA.5 นั้น เป็นเชื้อที่สามารถจะติดต่อไปได้ง่ายมากถึงแม้การป้องกันจะทำอย่างเต็มที่ โอกาสของการติดเชื้อก็ยังอาจจะมีอยู่บ้าง การเฝ้าสังเกตตัวเองถึงอาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น มีอาการคล้ายหวัดมีไอ เจ็บคอ มีเสมหะ น้ำมูกและอาจจะมีไข้ด้วยนั้น ก็อยู่ในข่ายที่น่าจะสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อ ซึ่งควรจะต้องตรวจด้วยวิธี ATK เพื่อยืนยันว่าติดเชื้อหรือไม่ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว
ประเทศไทยกำลังจะผ่านพ้นวิกฤตจากโรคโควิด-19 ซึ่งได้ส่งผลกระทบไม่ใช่เฉพาะต่อปัญหาสุขภาพของประชาชนจำนวนไม่น้อยเท่านั้น แต่ยังกระทบเรื่องเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย ซึ่งก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ที่มีโรคระบาดชนิดนี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ด้วยศักยภาพในการบริหารจัดการของรัฐบาลจึงทำให้ประเทศของเรากำลังจะก้าวผ่านสิ่งที่ถือว่าเป็นภัยพิบัติไปได้แล้ว และเศรษฐกิจของประเทศก็กำลังกลับคืนมา ซึ่งจะทำให้การดำรงชีวิตของผู้คนโดยเฉพาะเรื่องปากท้องน่าจะดีขึ้นตามลำดับ
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ที่จะไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันโดยเอาประเด็นทางการเมืองมาเป็นตัวตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักการเมืองทั้งหลายซึ่งควรจะพิจารณาปล่อยวางในเรื่องของการสร้างอำนาจเพื่อผลประโยชน์บางอย่างที่จะเกิดขึ้นแก่พรรคพวกของตนภายหลังจากมีอำนาจนั้นแล้ว หากทำได้อย่างนั้นโดยยึดประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ประเทศของเราก็จะกลับมาเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดประเทศหนึ่งในโลกนี้
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี