เมื่อวันก่อนพรรคพลังประชารัฐได้มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครเพิ่มเติมพร้อมยืนยันว่าจะส่งผู้สมัครลงครบทั้ง 400 เขต ซึ่งอีกหนึ่งในสิ่งที่หลายฝ่ายต่างจับตามองก็คือการปรากฏตัวของบุคคลสำคัญทางการเมืองหน้าใหม่หรือที่ทยอยกลับเข้าพรรค หนึ่งในนั้นคือ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. นายสกลธี ที่ได้ปรากฏตัว พร้อมหวนกลับคืนหน้าม่านในบทบาทของ ผู้ดูแลการเลือกตั้ง
ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครอีกครั้ง ซึ่งแม้ว่าก่อนหน้านี้หลายฝ่ายจะมองว่า ชื่อของนายสกลธี น่าจะไปลงเอยที่พรรครวมไทยสร้างชาติมากกว่าหรือไม่? เช่นเดียวกับอีกหลายคนที่เคยมีข่าวว่าจะไปแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปทั้งหมด

ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าพลเอกประวิตรออกโรงทาบทามนายสกลธี ให้มาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐด้วยตัวเอง ด้วยเพราะคุณสมบัติที่เพียบพร้อม ทั้งภูมิหลัง ไปจนถึงประวัติและผลงานของนายสกลธี ที่ได้เคยผ่านเวทีสนามใหญ่มาแล้วในระดับประเทศ และเวทีผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ รวมถึงการเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะมาเสริมและปรับภาพให้กับพลเอกประวิตร
จึงดูจะเป็นความหวังให้กับพลังประชารัฐในการคุมทัพกทม.ที่คราวที่แล้วเป็นแชมป์เก่าแถมได้จำนวนที่นั่งกทม.ไปถึง 12 ที่นั่งแต่รอบนี้จะมีสส.ตบเท้าเดินออกไปหลายคนแล้ว จึงเป็นความท้าทายของแม่ทัพ กทม. เป็นอย่างมาก?

ขณะที่พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ
ไปช่วยงานกทม.พลเอกประยุทธ์ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ เรื่องที่น่าสนใจก็คือ เมื่อครั้งเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. นายสกลธีได้คะแนนเข้ามาในลำดับที่สี่ สูงกว่านายอัศวิน ที่แม้จะชนะด้วยคะแนนไม่มาก แต่ตอนนั้นนายสกลธีลงในนามอิสระคนเดียวโดยไม่มีทีมสก.ด้วยซ้ำ และทั้งสองคนก็ถูกมองว่าน่าจะมีฐานเสียงที่มาจากกลุ่มเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ พื้นที่กทม.ก็นับว่ามีการแข่งขันของหลายพรรคมากที่สุดพื้นที่หนึ่ง ทั้งจากการแตกพรรค หรือการตั้งพรรคใหม่ของพรรคหลักเดิม เพราะนอกจาก เพื่อไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ ก้าวไกล แล้วยังมีไทยสร้างไทย สร้างอนาคตไทย ชาติพัฒนากล้า รวมถึงภูมิใจไทย ที่จะเข้ามาแข่งจริงจังในพื้นที่กทม.รอบนี้อีกด้วย ประกอบกับสถิติการเลือกตั้งสส.ของคนกทม. ที่มักไม่ได้ยึดติดตัวบุคคลมากนัก จึงยากที่จะเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผลคะแนนเลือกตั้งรอบนี้ และยากที่จะยืนยันได้ว่าสส.คนเดิมจะได้รับชัยชนะกลับมาหรือไม่?

การเลือกตั้งใกล้เข้ามา และเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการนับถอยหลังแบบเต็มรูปแบบ ขณะที่การย้ายบ้านก็ยังไม่มีพรรคไหนนิ่ง กระบวนตัดสินใจว่าอาจเหลือเวลาอีกไม่มากมายนัก

โดยเฉพาะเมื่อการที่พลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ประกาศเส้นทางการเมืองครั้งใหญ่ โดยการเปิดประตูพาตนเองไปสู่ระบบพรรคการเมืองเต็มรูปแบบ ร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ พาให้บรรดานักการเมืองตลอดจนพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ว่าฝ่ายใดก็ได้รับผลกระทบและไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ ต้อง Take Action อย่างใดอย่างหนึ่งตามๆ กันไปด้วย

อย่างในกรณีของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เมื่อพลเอกประยุทธ์เผยเส้นทางการเมืองในอนาคตแล้ว แม้จะมี สส. จำนวนไม่น้อยที่เข้าร่วมสู่พรรครวมไทยสร้างชาติแทบจะทันที และอาจมีการเตรียมโยกย้ายสังกัดตามมาเป็นกำลังสมทบเพิ่มเติมในอนาคต?

แต่แม้จะมี สส. ย้ายสังกัดตบเท้าเข้ามาในจำนวนที่ไม่น้อย กระนั้นก็ยังมีสื่อหลายสำนักที่ยังคงตั้งคำถามว่า การตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ของพลเอกประยุทธ์ อาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องถูกเวลาหรือรวดเร็วเกินไปหรือไม่?

อาจเพราะ แม้ว่าความนิยมของพลเอกประยุทธ์จะอยู่ในขั้นที่เรียกว่าเป็นหัวตาราง แต่สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติเองก็เป็นพรรคใหม่ แม้จะมีพลเอกประยุทธ์เป็นดั่งแม่เหล็กที่ดึงดูดคะแนนเสียง แต่ก็ดูจะเป็นแม่เหล็กเพียงหนึ่งเดียวด้วยหรือไม่? และหากว่ากันตามตรงก็ยังไม่อาจไว้วางใจได้ว่า สส. จากสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ จะสามารถร่วมมือ ร่วมใจกัน พาเป้าหมายขั้นต่ำ 25 ที่นั่งของพรรคให้บรรลุไปได้หรือไม่?

แม้ว่า พลเอกประยุทธ์จะเป็นหนึ่งในตัวละครเอก ที่สามารถเรียกคะแนนจากพ่อยก แม่ยก ได้ในจำนวนที่ไม่น้อย อีกทั้งนายพีระพันธุ์ ผู้มากประสบการณ์บนเวทีการเมืองเป็นผู้นำทัพ แต่เมื่อหันกลับไปดูที่ชื่อของบรรดาผู้สมัครตอนนี้แล้วก็ยังไม่อาจไว้วางใจได้มากนัก เพราะแม้ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ จะเป็น สส. ที่มีประสบการณ์มากเพียงใด แต่เมื่อเทียบกับ สส. จากสังกัดพรรคการเมืองอื่นๆ ก็พบว่ายังอยู่ในจุดที่ยังปักใจไม่ได้หรือไม่?

หนำซ้ำบางมุมพรรคการเมืองสังกัดอื่นๆ ก็ดูจะเป็นต่อพรรครวมไทยสร้างชาติอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคการเมืองตั้งใหม่ แม้จะมีข้อได้เปรียบจากการเป็นพรรคใหม่ไร้มลทิน ให้ต้องโดนโจมตีแบบพรรคพลังประชารัฐแต่ในอีกมุมหนึ่งก็ดูจะไร้ผลงานมาคอยอุ้มชูแก่พรรคเช่นกันหรือไม่? ขณะที่พรรคพลังประชารัฐที่แม้จะถูกมองว่ามีรอยฟกช้ำมากมายแต่ก็สามารถพูดได้ว่าพรรคพลังประชารัฐบริหารประเทศมาสี่ปีพร้อมกับชื่อโครงการที่เป็นที่รู้จักในหมวด ประชารัฐ เช่นบัตรประชารัฐ?

ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นก็กลับกลายเป็นว่าความน่าสนใจของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็อาจไปยึดโยงกับพลเอกประยุทธ์ ประการเดียวเท่านั้นหรือไม่?

อย่าลืมว่ายังมีอีกหนึ่งศึก ซึ่งเป็นศึกแห่งสมรภูมิสภาฯ นั่นคือการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ที่น่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งแม้จะไม่ได้มีส่วนสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในยามนี้มากนัก แต่นี่ก็นับเป็นอีกหนึ่งศึกที่ฝ่ายค้านอาจหยิบฉวยโอกาสนี้ ในการโจมตี หรือสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของรัฐบาลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือไม่? ซึ่งเป้าโจมตีครั้งใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นพลเอกประยุทธ์และบุคคลแวดล้อมในบ้านใหม่ของพลเอกประยุทธ์หรือไม่?

แม้การเปิดตัวของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจบนเวทีการเมือง แต่ในความเป็นจริงลึกๆ ก็ยังมีสิ่งที่น่ากังกลอยู่ไม่น้อย ทั้งปัญหาด้านกำลังพลที่แม้จะมีข่าวและการประเมินว่าน่าการเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย แต่การหาแม่ทัพที่แข็งแกร่ง และเป็นเจ้าถิ่นในแต่ละพื้นที่นั้น ก็ยังคงเป็นหนึ่งในโจทย์สำคัญของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ต้องรีบดำเนินการแก้ไขหรือไม่?

นอกจากแม่ทัพแล้วพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจต้องดำเนินการเร่งเฟ้นหาตัวขุนศึกตัวจริงและกำลังพลที่คาดหวังผลได้
เพื่อกวาดคะแนน สส. เขตและบัญชีรายชื่อให้ได้มากที่สุด และอาจต้องเร่งกระบวนการให้มากกว่าเดิมเป็นพิเศษ เพราะด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดของเวลาที่นับถอยหลังลงเรื่อยๆ ในขณะที่ในตอนนี้ดูเหมือนอะไรๆ ก็ดูจะไม่เหมือนที่คิดเอาไว้ตอนแรกสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะ สส. ขาเข้าที่อาจไม่มาตามนัด?

อย่างในกรณีของกลุ่มสามมิตรที่ในตอนแรก กระแสข่าวจากหลากหลายสำนักก็ต่างคาดไปในทิศทางเดียวกันว่า ไม่ว่าอย่างไรเส้นทางการเมืองของกลุ่มสามมิตร ก็น่าจะบรรจบกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งสายสัมพันธ์ที่ดีกับพลเอกประยุทธ์ อีกทั้งก่อนหน้านี้นายธนกร วังบุญคงชนะ ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้กล่าวเปิดอกว่า ได้ชักชวนกลุ่มสามมิตรให้มาร่วมงานที่พรรครวมไทยสร้างชาติออกสื่อจึงไม่แปลกที่หลายฝ่ายจะเห็นพ้องกันว่าอย่างไรเสียกลุ่มสามมิตรก็น่าจะลงสู้ศึกในฐานะขุนพลของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก่อนที่ในภายหลังกลุ่มสามมิตรจะเริ่มแสดงท่าทีว่า พร้อมยืนหยัดและสู้ต่อในศึกเลือกตั้งครั้งหน้าในนามของขุนพลพรรคพลังประชารัฐ ตามลักษณะบ้านใหญ่ที่เคยได้วิเคราะห์ไว้แล้ว

อาจเพราะบ้านพรรคพลังประชารัฐ เป็นหนึ่งในบ้านซึ่งเป็นที่รวมตัวของ สส. ที่แข็งแกร่ง และมีฮวงจุ้ยเหมาะกับการเป็นที่อยู่ของบ้านใหญ่บ้านต่างๆ ด้วยเพราะดูมีความยืดหยุ่นไม่ด้อยไปกว่าภูมิใจไทย จึงมีแนวโน้มที่จะสามารถจับมือกับพรรคใดก็ได้ อีกทั้งระดับพลเอกประวิตร ผู้มากบารมีเป็นผู้นั่งแท่นกุมบังเหียนอยู่จึงมีโอกาสไม่น้อยที่พรรคพลังประชารัฐอาจได้เป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งในสมัยหน้า เพราะหากว่ากันตามตรงพลเอกประวิตรแม้ในตอนนี้จะมีกระแสข่าวว่า คับเคืองใจกับพลเอกประยุทธ์ แต่หากมองในแง่มุมของการจับมือเพื่อจัดตั้งรัฐบาล เชื่อว่าอย่างไรเสียทั้งสองท่านก็ยังสามารถจับมือกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้อยู่หรือไม่?

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อการเดินเกมของพรรคพลังประชารัฐในช่วงหลัง ดูน่าจะกลับมามอบบทบาทสำคัญให้กับร้อยเอกธรรมนัสในการเดินเกมหรือไม่ แม้กระทั่งเมื่อร้อยเอกธรรมนัส ยังสังกัดอยู่พรรคเศรษฐกิจไทยแต่ก็ดูจะยังมีบทบาทต่อพรรคพลังประชารัฐอยู่อย่างไม่ขาด ซึ่งการมีร้อยเอกธรรมนัส ก็อาจเป็นผลดีต่อพรรคพลังประชารัฐอยู่ไม่น้อย ทั้งในแง่ของการเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้ง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเครือข่ายของร้อยเอกธรรมนัส มี สส. ที่แข็งแกร่ง ในจำนวนที่ไม่น้อย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เคยสังกัดอยู่กับพรรคพลังประชารัฐทั้งสิ้น ก่อนจะอำลาไปปักหลักยังพรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งหาก สส. เหล่านั้นกลับมาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการเมื่อใด การลงสู้ศึกการเลือกตั้งใหญ่ในครั้งหน้า สส. จากเครือข่ายของร้อยเอกธรรมนัส ก็น่าจะช่วยพรรคพลังประชารัฐก็น่าจะยึดชัยภูมิ ได้ในจำนวนที่ไม่น้อย โดยเฉพาะในแถบภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางบางส่วนหรือไม่?

ภารกิจที่อาจถูกมองว่าสำคัญกว่าคือภารกิจหลังเลือกตั้งเสร็จสิ้นหรือไม่ นั่นคือการรวมตัวจัดตั้งรัฐบาล และเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าในท้ายที่สุดแล้ว ใครจะอยู่ในฐานะฝ่ายรัฐบาล และสุดท้ายใครจะอยู่ในฐานะฝ่ายค้านกันแน่? ซึ่งการมีร้อยเอกธรรมนัส
อยู่ในสังกัด ก็ยิ่งเป็นการเปิดกว้างที่สำคัญในการจับมือกับพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสที่ไม่ปิดสำหรับการ
จับมือกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่? แม้จะพูดว่าเป็นเรื่องของอนาคตก็ตาม

และหากดูจากหลายปัจจัยที่ผ่านๆ มา ก็น่าจะมีแนวโน้มในระดับหนึ่งแล้วหรือไม่ว่า ร้อยเอกธรรมนัสน่าจะกลับคืนรัง
เพียงแค่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไรเท่านั้น ซึ่งหากว่ากันตามตรง แม้การที่ร้อยเอกธรรมนัสหวนคืนบ้านจะเป็นหนึ่งในเรื่องที่ดี แต่ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องระวังหรือไม่?

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วว่าความสัมพันธ์ระหว่างร้อยเอกธรรมนัสและพลเอกประยุทธ์นั้น ดูจะไม่เป็นไปในทิศทางบวกสักเท่าไหร่นักทั้งจากกรณีกระแสข่าวไม่กินเส้นที่มักจะมีให้เห็นตามน่าสื่อมาโดยตลอด ก็น่าสนใจว่าหากร้อยเอกหวนคืนทัพพลังประชารัฐแล้ว จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่พาให้ตัดโอกาสในการจับมือเพื่อจัดตั้งรัฐบาลกับพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่? เพราะหากลำพังแค่ความบาดหมางระหว่างพี่น้อง 3ป. ยังพอน่าจะเคลียร์กันได้ แต่เมื่อมีปัจจัยภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องก็ย่อมทำให้ไม่มีอะไรแน่นอน

อีกหนึ่งเรื่องที่น่าจับตามองหากว่าร้อยเอกธรรมนัสกลับคืนถิ่น คือหนึ่งในกลุ่มตัวแปรอย่างสามมิตร ที่แม้จะเผยท่าทีในระดับหนึ่งว่าพร้อมสังกัดพรรคพลังประชารัฐต่อ แต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่สามารถทราบได้ว่าลึกๆ แล้วกลุ่มสามมิตรจะรู้สึกอย่างไรต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นกันแน่ อย่างกรณีล่าสุดที่นายสมศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ถูกสื่อมวลชนถามถึงจุดยืนทางการเมืองว่าจะยังสังกัดพรรคพลังประชารัฐต่อหรือไม่? รวมทั้งมีการยิงคำถามเกี่ยวกับร้อยเอกธรรมนัสหวนคืนพลังประชารัฐ แล้วกลุ่มสามมิตรจะยังคงอยู่ต้นสังกัดเดิมหรือไม่? ซึ่งท่าทีก็ดูจะอึดอัดกับคำถามของสื่อมวลชนและในแง่ของคำตอบก็ดูจะไม่ชัดเจนเท่าไรนัก

ซึ่งก็คงต้องจับตาดูว่า ความบาดหมางระหว่างกลุ่มต่างๆที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้าจะสามารถยุติได้หรือไม่? ท้ายที่สุดจะจับมือกันก้าวผ่านความขัดแย้งเพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง หรือในท้ายที่สุดใครจะอยู่ ใครจะไป เดี๋ยวคงได้รู้กัน แต่อย่างไรเสียหากกลุ่มสามมิตรตัดสินใจลาออกจากบ้านพรรคพลังประชารัฐ สถานีต่อไปของกลุ่มสามมิตรก็มีความเป็นไปได้ในระดับหนึ่งว่า อาจตัดสินใจตบเท้าเข้าบ้านพรรครวมไทยสร้างชาติก็เป็นได้หรือไม่? ซึ่งหากเป็นในแง่เช่นนั้น การที่ร้อยเอกธรรมนัสหวนคืนกลับพรรคพลังประชารัฐ ก็อาจส่งผลต่อพรรคอื่นๆ โดยเฉพาะรวมไทยสร้างชาติ? ซึ่งลักษณะเช่นนี้จะพบเห็นอย่างมากในการเลือกตั้งรอบนี้ ไปจนกว่าตลาดสส.จะปิดซึ่งก็คือวันประกาศยุบสภา นั่นเอง

“ชีวิต หากพยายามให้ดำเนินไปตามครรลองอันถูกต้อง จะเป็นเศรษฐีมีทรัพย์นับอนันต์ หรือยากไร้จนต้องภิกขาจาร หากถืออุเบกขามิฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยาน ย่อมมีความสุขสมอัตภาพทุกรูปนาม”

โกวเล้ง จาก นักสู้ผู้พิชิต