คุณเคยพิจารณาบ้างไหมว่า สส.ชุดล่าสุด เป็นกลุ่มคนที่มาจากอาชีพอะไรบ้าง และอาชีพไหนที่เข้ามาเล่น (ทำงาน) การเมืองมากที่สุด
แต่เท่าที่เห็นกันชัดๆ คือ คนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาเล่นการเมืองได้แก่นักธุรกิจ แล้วก็มักปรากฏว่านักธุรกิจที่เข้าไปสู่วงจรการเมืองไทยมักจะเป็นนักธุรกิจระดับประเทศ
ถามว่าทำไมนักธุรกิจระดับประเทศกลุ่มหนึ่งต้องผันตัวเองไปเป็นนักการเมือง คำตอบเรื่องนี้ก็มีหลายแง่มุม ขึ้นกับว่าถามใคร แล้วใครตอบ แต่สิ่งหนึ่งที่นักธุรกิจที่กระโจนเข้าสู่เวทีการเมืองมักชอบตอบเป็นประจำคือ ต้องการเข้ามาช่วยเหลือประชาชน ต้องการเข้ามาพัฒนาประเทศชาติ แต่ไม่เคยมีนักธุรกิจคนไหนกล้าตอบตรงๆ ว่า เหตุที่ต้องการเข้าสู่วงจรการเมือง เพราะต้องการอำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจรัฐเพื่อสนับสนุนธุรกิจของตนเอง
ถามว่าทำไมนักธุรกิจที่กระโจนเข้าสู่เวทีการเมืองต้องอ้างเหมือนๆ กันว่า ต้องการเข้ามาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ ทำไมจึงไม่มีคำตอบอื่นๆ บ้าง แล้วถามต่อไปอีกว่า นักธุรกิจที่เข้ามาเล่นการเมืองคิดว่าตอบไปแบบนั้นแล้ว คนฟังจะเชื่อลมปากของนักธุรกิจ
ใครๆ ก็รู้กันทั้งโลกว่าการเมืองคือเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ ดังนั้น การที่นักธุรกิจเข้าไปเล่นการเมือง ก็เพราะต้องการอำนาจและผลประโยชน์ (ไม่ไช่แค่เฉพาะนักธุรกิจเท่านั้น แต่ต้องบอกว่าใครก็ตามที่เข้าสู่วงจรการเมือง ต่างก็ต้องการได้อำนาจและผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น) แต่ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่ จะรู้ทันลมลวงของนักธุรกิจ แต่ถึงกระนั้น นักธุรกิจที่เล่นการเมืองก็ยังคงโฆษณาชวนเชื่อเหมือนเดิม เพราะไม่มีอะไรจะทำให้พวกเขาน่าเชื่อถือได้โดยปราศจากคำโฆษณาชวนเชื่อ
ดังนั้น เราจึงได้ยินเสมอๆ ว่านักธุรกิจที่เข้ามาเล่นการเมืองต่างก็โฆษณาชวนเชื่อว่า ตนเองร่ำรวยแล้ว ประสบความสำเร็จทางธุรกิจแล้ว จึงต้องการเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศชาติ ช่วยเหลือประชาชน บางรายหนักกว่านั้นอีก เพราะโกหกว่า รวยแล้วไม่โกง
ก่อนอื่นต้องบอกตรงๆ ว่าการที่นักธุรกิจทำกิจการการค้าใดๆ แล้วเจริญรุ่งเรืองได้ หรือสามารถกวาดโกยกำไรได้มหาศาล แล้วมาอ้างว่าต้องการเข้ามาพัฒนาประเทศ หรือช่วยเหลือประเทศ ช่วยเหลือประชาชนให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ขอย้ำว่าคำพูดดังกล่าวมีความย้อนแย้งกันอย่างที่สุด เพราะการที่นักธุรกิจทำกำไรได้มหาศาล แต่ประเทศอยู่ในสภาพย่ำแย่ ประชาชนอยู่ในฐานะยากจน นั่นก็ย่อมแสดงว่านักธุรกิจรายนั้นน่าจะทำอาชีพด้วยความไม่ซื่อสัตย์ ไม่สุจริต เพราะเป็นการขูดเลือดขูดเนื้อประชาชน แล้วรีดเอากำไรจากสังคมไปสะสมไว้ในความร่ำรวยของตนเอง
เพราะฉะนั้น ไม่ว่านักธุรกิจด้านโทรคมนาคม หรือนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ หรือธุรกิจด้านอื่นๆ ด้วย พยายามกระโจนเข้าตะครุบอำนาจรัฐ ก็หมายความว่าเขาเห็นช่องทางของการมีอำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจรัฐไปช่วยทำให้เขาได้ผลประโยชน์ทางธุรกิจมากขึ้นกว่าเดิม
ส่วนคำอ้างที่ฟังแล้วแสนจะคลื่นเหียนที่สุดคือ บัดนี้ ผมไม่ได้เป็นผู้บริหารบริษัทอีกต่อไปแล้ว ผมวางมือแล้ว ผมไม่มีอำนาจบริหารจัดการบริษัทอีกต่อไป เพราะผมตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติ
ขอย้ำว่า นี่คือคำโกหกที่แสนจะคลาสสิกของนักธุรกิจที่ผันตัวไปเป็นนักการเมืองจำพวกนักธุรกิจการเมือง ถามอีกครั้งว่า มีใครเชื่อบ้างว่าเจ้าของธุรกิจที่ผันตัวไปเล่นการเมืองจะไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ตนเองเป็นเจ้าของ
เราได้เห็นกันชัดๆ มาแล้วในยุคที่นักธุรกิจเจ้าของกิจการโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของไทยกระโจนเข้าไปเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเขาใช้อำนาจรัฐบิดเบือน ฉ้อฉล หมกเม็ดด้วยกลอุบายต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจของเขาได้กำไรมหาศาล ซึ่งได้กำไรมากกว่าช่วงที่เขายังไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจรัฐ แถมยังหลบเลี่ยงภาษีได้อีก เขาทำเช่นนั้นได้ เพราะเขามีอำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจรัฐบิดเบือน ฉ้อฉลต่างๆ นานา นอกจากนั้น เมื่อเขามีอำนาจรัฐแล้ว เขายังใช้อำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานราชการต่างๆ ได้โดยปราศจากความละอาย ดังที่เราพบเห็นกันในนามของทุจริตเชิงนโยบาย
การที่นักธุรกิจต้องการอำนาจรัฐเป็นเพราะว่าเขาต้องการใช้อำนาจรัฐเพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบให้กับตัวเอง ไม่ใช่เพราะเขาต้องการเข้ามาช่วยเหลือ พัฒนาประเทศชาติ เพราะหากเขาต้องการช่วยเหลือพัฒนาประเทศชาติจริงๆ เขาก็ต้องไม่ฉ้อฉลก่อนจะมีอำนาจรัฐ
ยิ่งประเทศมีนักธุรกิจการเมืองมากขึ้นเท่าไร ก็จะบ่อนทำลายประเทศได้มากขึ้นเท่านั้น การปล่อยให้นักธุรกิจการเมืองเข้าไปมีอำนาจรัฐ คือการปล่อยให้กลุ่มธุรกิจเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์สาธารณะเข้ากระเป๋าของพวกเขาเองมากยิ่งขึ้น เท่ากับปล่อยให้นักธุรกิจการเมืองเข้าไปแสวงหาผลตอบแทนส่วนเกินทางเศรษฐกิจจากรัฐได้จำนวนมหาศาล แล้วสุดท้ายจะนำไปสู่การทุจริตเชิงนโยบายอย่างไม่รู้จบ แล้วยังนำไปสู่ปัญหาความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำเชิงเศรษฐกิจของประชาชน และทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยากจนลงเป็นลำดับ
เมื่อนักธุรกิจการเมืองมีอำนาจรัฐแล้ว เขาก็จะแสวงหาผลประโยชน์ และผลตอบแทนส่วนเกินจากระบบเศรษฐกิจ โดยใช้นโยบายที่เขากำหนดขึ้นเป็นเครื่องมือในการกอบโกยโกงกิน และปล้นทรัพยากรของแผ่นดินไปครอบครอง
สำหรับกลอุบายการใช้อำนาจรัฐเพื่อฉกฉวยผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อของนักธุรกิจการเมืองคือ การสร้างนโยบายหมกเม็ดเพื่อแทรกแซงราคาสินค้าต่างๆ เพื่อให้กิจการของตนเองได้ผลประโยชน์สูงสุด หรือไม่ก็ใช้อำนาจรัฐให้สัมปทานกับกิจการในเครือบริษัทของนักธุรกิจการเมือง แต่ที่ทำได้ง่ายที่สุดคือการแทรกแซงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ รวมถึงนโยบายที่เอื้อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มและพวกพ้องของนักธุรกิจการเมือง
ผู้ที่ติดตามกลโกงของนักธุรกิจการเมืองมาโดยตลอดจะพบเห็นแล้วว่าสังคมไทยถูกนักธุรกิจการเมืองฉ้อฉล ปล้นทรัพยากรของแผ่นดินไปแล้วเป็นจำนวนมาก เช่น กรณีสัมปทานโครงการโทรคมนาคม โดยผ่านการแปรสัญญา หรือแก้ไขสัญญา หรือการให้สัมปทานที่ไม่โปร่งใสสารพัดชนิด เช่น การต่ออายุสัมปทานให้กับสถานีโทรทัศน์บางช่อง รวมถึงการให้สัมปทานกับร้านค้าปลอดภาษี และการต่ออายุโครงการเช่าที่ดินของรัฐให้กับเจ้าของธุรกิจระดับประเทศบางราย เป็นต้น
ส่วนในเรื่องการทุจริตในโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ของหน่วยงานภาครัฐ ก็เป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัดเสมอมา เช่น โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ (สนามบินสุวรรณภูมิ) โครงการเช่ารถยนต์โดยสารปรับอากาศที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (ของขสมก.) โครงการนมโรงเรียน โครงการจัดซื้อรถพยาบาลฉุกเฉินระดับสูง เป็นต้น
ทั้งนี้ยังมีเรื่องของการฉ้อฉลโดยใช้อำนาจรัฐเพื่อหนุนส่งให้กลุ่มคนของนักธุรกิจการเมืองได้เข้าไปครอบครองที่ดินสาธารณะ และพื้นที่ป่าธรรมชาติต่างๆ ดังปรากฏเป็นข่าวเป็นประจำ โดยพบว่าพื้นที่ป่าธรรมชาติ และที่ดินสาธารณะต่างๆ ของประเทศไทยได้ถูกกลุ่มอิทธิพลทางการเมืองเข้าไปครอบครองแล้วเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังใช้อิทธิพลจากอำนาจรัฐเข้าไปกอบโกย โกงกินโครงการจัดสรรที่ดินของรัฐ ที่ทำขึ้นเพื่อจัดสรรที่ดินทำกินให้กับคนยากคนจน แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าผู้มีอิทธิพลทางการเมือง และทางเศรษฐกิจได้เข้าไปครอบครองที่ดินดังกล่าว แต่คนยากคนจนตัวจริงก็ยังคงไม่มีกรรมสิทธิ์ทำกินบนที่ดินที่รัฐพยายามจัดสรรให้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกประหลาดใจกับการที่เราเห็นเป็นประจำว่านักธุรกิจการเมืองเข้าไปครอบครองพื้นที่ป่าธรรมชาติ หรือกระทั่งเรื่องที่แม่ของนักการเมืองที่อ้างว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาความยากจนของคนไทย ยังตกเป็นข่าวครอบครองที่ดินสาธารณะโดยไม่สุจริต
อันที่จริง สาธารณชนยังพบอีกว่าในสังคมไทยนั้นมีการผูกขาดอำนาจและผลประโยชน์ไว้ในมือของคนกลุ่มหนึ่งมาโดยตลอด ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน โดยการผูกขาดอำนาจการเมืองนำไปสู่การผูกขาดเชิงเศรษฐกิจ ซึ่งประเด็นนี้หมายถึงนักธุรกิจการเมืองเข้าไปผูกขาดการกอบโกยทรัพยากรของแผ่นดิน โดยการสร้างสายส้มพันธ์ระหว่างการมีอำนาจการเมืองกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น
สาธารณชนพบด้วยว่าเจ้าของธุรกิจ ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ และกรรมการบริหารของบริษัทเอกชนที่มีพฤติกรรมผูกขาดในกิจการธุรกิจใดๆ มักมีสายสัมพันธ์โยงใยกับอำนาจรัฐผูู้มีอำนาจรัฐ นักการเมืองระดับชาติ และพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่เป็นรัฐบาล โดยพบว่าในหลายธุรกิจหรือหลายกิจการนั้น ผู้บริหารของกิจการเหล่านั้นมีเครือญาติหรือคนใกล้ชิดได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี และยังพบอีกว่ามีนักการเมืองและเครือญาตินักการเมืองเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากการมีอำนาจรัฐ
นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่านักธุรกิจการเมืองและเครือญาติของพวกเขาเข้าไปมี หรือได้รับผลประโยชน์จากการมีอำนาจรัฐในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็์นว่านักธุรกิจการเมืองสามารถใช้อำนาจรัฐแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐได้ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
คนไทยที่มีสติปัญญาสามารถรับรู้ถึงความเลวร้ายของนักธุรกิจการเมืองได้เป็นอย่างดี เพราะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ประกอบชัดเจน และรู้แจ้งเป็นอย่างดีถึงพิษสงที่ร้ายกาจของนักธุรกิจการเมือง
แน่นอนว่าเมืองไทยนั้นหานักการเมืองดีๆ นักการเมืองซื่อสัตย์สุจริต ได้ไม่ง่ายนัก แต่ที่หาได้ง่ายและพบเจอประจำคือนักการเมืองสายพันธ์ุเลวที่เข้ามาเพื่อโกงบ้านกินเมือง ทำลายล้างความเจริญ ความสงบของสังคม
วันนี้ คุณมองหน้านักการเมืองไทยแล้วแยกแยะได้ชัดเจนแล้วใช่ไหมว่าใครคือนักการเมืองดี ใครคือนักการเมืองเลว ใครคือนักธุรกิจการเมืองที่พยายามแทรกตัวเข้ามาเพื่อใช้อำนาจรัฐโกงบ้านกินเมือง
เราทุกคนผ่านการเลือกตั้ง สส. ครั้งล่าสุดมาแล้ว เรารู้ชัดแล้วว่าใครคือ สส. จำพวกนักธุรกิจการเมือง
ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ จะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา (ส่วนจะมีการโหวตเลือกหรือไม่นั้น ต้องรอดูวันที่ 22 สิงหาคม) เราก็ได้แต่หวังว่าสมาชิกรัฐสภาจะไม่ปล่อยให้นักธุรกิจการเมืองเข้าไปมีอำนาจรัฐ เพราะเรารู้ดีว่าหากปล่อยให้นักธุรกิจการเมืองเข้าไปมีอำนาจรัฐอีก บ้านเมืองของเราจะพบกับความพินาศบรรลัยในที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี