“วิธีการเรียนรู้โลกใบนี้ของเด็ก เขาเรียนผ่านการเล่น ซึ่งมันเนียนมาก เราดูไม่รู้เลยว่าเขากำลังเรียนรู้อยู่ผ่านการเล่นสนุกของเขา ที่บางทีผู้ใหญ่มองว่าเล่นอะไรก็ไม่รู้ ไร้สาระ เป็นเรื่องเล่นๆ ดูไม่มีวิชาการแล้วจะได้อะไร? แต่จริงๆ วิธีของเด็กในการที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ เขาทำผ่านการเล่น ดังนั้นสำนัก 4 ซึ่งดูแลเรื่องสุขภาวะเด็ก-เยาวชน-ครอบครัว เรามองว่าสิทธิของเด็กที่จะได้เล่นตั้งแต่เขามีตัวตนขึ้นมาบนโลกใบนี้เป็นเรื่องสำคัญ”
ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการ สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว (สำนัก 4) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวในการบรรยายหัวข้อ “เล่น-เรียน-รู้ กับการพัฒนาเด็กยุคใหม่” จัดโดยสถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ (ThaiHealth Academy) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่าด้วยความสำคัญของ “การเล่น” กับพัฒนาการตามวัยของเด็ก โดยมี ศ.ดร.นพ.นันทวัช สิทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้การสร้างเสริมสุขภาพ เป็นผู้ดำเนินรายการ
ซึ่ง อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ได้กล่าวถึงสิทธิเด็กไว้หลายประการ เช่น สิทธิที่จะมีชีวิตรอดปลอดภัย สิทธิในการเติบโต หรือหากเป็นเด็กโตก็มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น การมีส่วนร่วมพัฒนาสังคม รวมถึงเรื่องเล่นที่เชื่อมโยงกับพัฒนาการ อย่างไรก็ตาม เมื่อดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก พบปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเล่นของเด็ก 1.ระบบการศึกษาสมัยใหม่ ที่ต้องเข้าร่วมตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงมหาวิทยาลัย 2.ความเป็นเมือง อยู่อาศัยกันอย่างแออัด และ 3.สังคมที่ซับซ้อน ปัญหาอาชญากรรม ความไม่ปลอดภัย มลพิษ (เช่น ฝุ่น PM2.5)
ณัฐยา กล่าวถึงงานวิจัยที่มีข้อค้นพบว่า เด็กที่มีชั่วโมงเรียนจำนวนมาก ทั้งเรียนในคาบปกติและเรียนพิเศษ จะมีความสุขน้อยกว่าเด็กที่มีชั่วโมงเรียนน้อยกว่านั้น เด็กร้อยละ 50 ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ความห่างไกลพ่อแม่ที่ต้องออกไปทำงานต่างพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หากลงพื้นที่จะเห็นภาพชัดมาก กว่าร้อยละ 80 ของเด็กในศูนย์เด็กเล็กไม่ได้อยู่กับทั้งพ่อและแม่ แต่จะอยู่กับปู่ย่าตายาย และเรื่องนี้ยังเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วย
“ความเป็นเมืองโดยตัวมันเอง ในกรณีครอบครัวที่มีเด็กอยู่ในเมืองแล้วเมืองมีความแออัดสูง อย่างตอนนี้กรุงเทพฯ ชัดเจนมาก ถ้าเราเดินเข้าไปในชุมชน เราพยายามทำเรื่องลานเล่นในชุมชน ยากเย็นมาก! แล้วถ้าหากมีที่ว่างสักหน่อย ผู้นำชุมชนจะตัดสินใจอย่างไรระหว่างเป็นลานเล่นกับเป็นลานจอดรถเก็บเงิน ฉะนั้นสาเหตุมันซับซ้อนอยู่เหมือนกัน” ผอ.สำนัก 4 สสส. กล่าว
ยังมี “ปัจจัยเสี่ยงใหม่” นั่นคือ “โลกหน้าจอ” โดยเฉพาะจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ณัฐยา กล่าวถึงคำแนะนำจากสมาคมแพทย์สหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรให้อยู่กับหน้าจอโดยเด็ดขาดหากอายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไป สัมผัสได้บ้างแต่ไม่ควรเกิน 15 นาทีและต้องอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่ หมายถึงใช้เป็นสื่อในการเรียนรู้ เช่น แอปพลิเคชั่นแบบ Edutainment(เรียนรู้ได้และสนุกสนานด้วย) ส่วนการเพิ่มเวลาดูหน้าจอให้ปรับเพิ่มได้ตามอายุของเด็ก หรือบางประเทศหากยังไม่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นจะไม่อนุญาตให้เด็กใช้โทรศัพท์มือถือเสียด้วยซ้ำไป
หรือที่ฝรั่งเศส โรงเรียนมีกฎระเบียบไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือ นักเรียนต้องฝากไว้และมารับคืนได้หลังเลิกเรียน แม้กระทั่งประเทศจีน ซึ่งมีรายได้มหาศาลจากอุตสาหกรรมเกม รัฐบาลก็ยังต้องออกกฎจำกัดเวลาการเล่นเกมของเด็ก เพราะรู้ว่าพ่อแม่ผู้ปกครองไม่สามารถจัดการกับบุตรหลานได้ ในขณะที่ประเทศไทยไม่มีทั้งการให้
ความรู้ประชาชนหรือการสร้างเงื่อนไขบางอย่าง โดยสาเหตุที่พ่อแม่ผู้ปกครองปล่อยบุตรหลานอยู่กับหน้าจอ มาจากทั้งแรงบีบคั้นทางเศรษฐกิจที่เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงานหารายได้ และจากความเชื่อว่ามือถือเป็นสิ่งดี
ผอ.สำนัก 4 สสส. เปิดเผยแผนงานขับเคลื่อนสิทธิเด็กที่จะได้มีพื้นที่เล่นอย่างอิสระ เช่น 1.สนับสนุนงบประมาณ สำหรับหน่วยงานที่ส่งเสริม “ลานเล่น” โดยปัจจุบันทำไปแล้วกว่า 20 จังหวัด หรือกว่า 200 ตำบล ซึ่งชุมชนในต่างจังหวัดนั้นเอื้อต่อการขับเคลื่อนเนื่องจากมีพื้นที่ว่างมากกว่าชุมชนในเมือง 2.สนับสนุนงานวิจัย เพื่อตอบโจทย์ที่ยังเป็นช่องว่าง
3.การขับเคลื่อนนโยบาย เพราะโอกาสที่เด็กจะได้เล่นไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่ต้องมีปัจจัยอื่นที่เอื้ออำนวย อาทิ พ่อแม่มีเวลาคุณภาพกับลูก มีสวนสาธารณะใกล้บ้าน หรือมีพื้นที่กลางของชุมชน รวมถึงการมี “แหล่งเรียนรู้” เช่น ทั่วประเทศมีพิพิธภัณฑ์น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนของเด็ก หลายจังหวัดไม่มีพิพิธภัณฑ์หรือห้องสมุดที่ตอบโจทย์ หรือหากเป็นเด็กโตก็จะต้องการ Co-Working Space สำหรับทำงานกลุ่มกับเพื่อนๆ ได้อย่างปลอดภัยและไม่เสียค่าใช้จ่าย และ 4.ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจ ผ่านการสื่อสารต่างๆ
“เรื่องของของเล่นหรือแม้กระทั่งหนังสือนิทาน หนังสือก็เป็นส่วนหนึ่งของการเล่น เชื่อไหมว่าสถิติเราก็คือเด็กกว่า 50% ไม่มีหนังสือนิทาน หรือถ้ามีก็มีไม่เกิน 3 เล่ม เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องทำงานในเชิงนโยบาย เช่น การลาคลอด ที่เราให้ลาได้แค่ 98 วัน สูงสุดตอนนี้กรณีราชการ จริงๆ มันควรจะมากกว่านั้นเพื่อให้มีโอกาส 1.เรื่องนมแม่ 2.การสร้าง Bonding (ความผูกพัน) ในช่วง 6 เดือนแรกกับลูก
รวมไปถึงมันคือการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เรื่องการพัฒนาเด็ก หรือเพิ่มวันลาประเภทเรียกว่าลาเพื่อการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งพ่อและแม่ควรมีสิทธิ์ที่จะลา ไม่ใช่เรื่องหลังคลอดแล้วนะ แต่เป็นเรื่องระหว่างเส้นทางการเติบโตของเด็ก พ่อแม่วัยแรงงานควรจะมีสิทธิในการลาเพื่อการเลี้ยงดูเด็ก แล้วก็เรื่องเงินอุดหนุนต่างๆ การวางผังของเมือง ของชุมชน ของหมู่บ้าน ควรจะต้องมีกฎหมายเข้ามาบังคับว่าการออกแบบต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง พื้นที่ที่เป็น Public Space (พื้นที่สาธารณะ) อะไรพวกนี้” ณัฐยา ระบุ
ทั้งนี้ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ (สสส.) เคยอธิบายเรื่องการเล่นไว้ในบทความ “Free Play VS Activity เล่นแบบไหนให้อะไรลูก” ไว้ว่า Free Play หรือการเล่นแบบอิสระ คือการเล่นที่เป็นการเล่น เด็กเป็นผู้ออกแบบรูปแบบการเล่นเอง ซึ่งธรรมชาติของเด็กคือการที่ได้เล่นอย่างมีความสุข ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่จะได้กลับมา ขณะที่ Activity หรือกิจกรรม หมายถึงมีผู้ออกแบบโดยมุ่งวัตถุประสงค์ เช่น ส่งเสริมพัฒนาการทางกายหรือสมอง ซึ่งทั้ง Free Play และ Activity จะจัดควบคู่กันตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงวัย เพื่อช่วยให้เด็กมีพัฒนาการอย่างสมวัย
แต่ไม่ว่าแบบใด “นโยบายสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย” ทั้งทางกายภาพ เวลาและความรู้ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดขึ้นและแพร่หลาย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี