ขณะที่ท่านกำลังถือ นสพ.แนวหน้า ฉบับนี้ (เสาร์ที่ 16 มี.ค. 2567) เวทีแสดงความคิดเห็น “ร่างประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขายหรือจำหน่ายสินค้าบนถนนหรือสถานสาธารณะ” ซึ่งจัดโดย กรุงเทพมหานคร (กทม.) สัญจร 6 กลุ่มเขต ได้เดินทางมาถึงเวทีสุดท้ายแล้ว แต่หากท่านใดอยู่ในกลุ่มเขตกรุงธนใต้ (ภาษีเจริญ บางแค หนองแขม บางขุนเทียน บางบอน ทุ่งครุและราษฎร์บูรณะ) ในวันที่ 16 มี.ค. 2567 เวลา 09.00 น. มีการเปิดเวทีที่สำนักงานเขตบางแค ก็ยังสามารถไปร่วมแสดงความคิดเห็นได้
ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน ในวันที่ 12 มี.ค. 2567 สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาวิชาการ (ออนไลน์) เรื่อง “(ร่าง) ประกาศฯ หาบเร่-แผงลอย แบบไหน? ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงกับผู้ค้า”โดย ปาริษา มูสิกะคามะ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะคณะกรรมการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ประเด็นหาบเร่แผงลอย มีผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย (Stakeholders) หลายฝ่าย เช่น ผู้ค้า ผู้ซื้อ คนเดินเท้า เจ้าของอาคารโดยรอบ และผู้ใช้ถนน
ขณะที่มุมมองของ กทม. นั้น ก็สะท้อนผ่านประกาศในเรื่องนี้ว่า หาบเร่แผงลอยยังคงต้องมีต่อไปภายใต้ประโยชน์ที่สมดุลระหว่างผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียที่กล่าวมาข้างต้น นอกจากนั้น ในร่างประกาศฉบับใหม่ กทม. ไม่ต้องการให้มีการทำการค้าในพื้นที่ถนนสายหลัก เพราะทำให้ภูมิทัศน์ของเมืองดูไม่เรียบร้อย นำไปสู่นโยบายของผู้ว่าฯ กทม. คนปัจจุบัน ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ต้องการขยับย้ายผู้ค้าเข้าไปอยู่ในพื้นที่ถนนสายรอง อย่างไรก็ตาม ร่างประกาศฉบับใหม่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นหากเทียบกับฉบับเดิมที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน (ประกาศเมื่อปี 2563)
ไล่ตั้งแต่ “พื้นที่ที่สามารถอนุญาตให้มีหาบเร่แผงลอยได้” ฉบับเดิมระบุเพียงแบบเดียวว่าถนนต้องไม่ต่ำกว่า 4 ช่องจราจร และตั้งแผงค้าแล้วต้องเหลือทางเดินกว้างไม่น้อยกว่า 2 เมตร จึงเปิดให้ทำการค้าได้ ในร่างฉบับใหม่ได้แบ่งพื้นที่อนุญาตทำการค้าไว้ 2 กลุ่ม คือ 1.ในพื้นที่ที่ถนนไม่ต่ำกว่า 3 ช่องจราจร เมื่อตั้งแผงค้าแล้วต้องเหลือทางเดินกว้างไม่น้อยกว่า 2 เมตร ให้ทบทวนความเหมาะสมทุกๆ 2 ปี กับ 2.ในพื้นที่ที่ถนนต่ำกว่า 3 ช่องจราจร เมื่อตั้งแผงค้าแล้วต้องเหลือทางเดินกว้างไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร ให้ทบทวนความเหมาะสมทุกปี
“กระบวนการพิจารณาเปิดจุดผ่อนผันเพื่อทำการค้า” ฉบับเดิมให้รับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มเหล่านี้ คือ กลุ่มผู้ครอบครองอาคาร กลุ่มผู้สัญจรและใช้ทางเท้า กลุ่มผู้พักอาศัยหรือทำงานในรัศมี 500 เมตร แต่ร่างฉบับใหม่ใช้คำว่าประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ เพียงแต่ยังคงเน้นว่าต้องมีอย่างน้อยคือกลุ่มผู้ครอบครองอาคาร กับกลุ่มผู้สัญจรและใช้ทางเท้า ส่วนผู้จัดการรับฟังความคิดเห็น นอกจากสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา (มหาวิทยาลัย) ในฉบับเดิมใช้คำว่าสำนักงานเขต แต่ร่างฉบับใหม่ใช้คำว่าคณะกรรมการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยระดับเขต
“บทความของคณะกรรมการจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยระดับเขต” ในร่างฉบับใหม่กำหนดบทบาทหน้าที่ไว้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ในเรื่องการควบคุมขนาดและลักษณะของแผงค้าให้เหมาะสมกับพื้นที่ทำการค้าเพื่อไม่ให้กีดขวางการเดินเท้าหรือการสัญจร อนึ่ง “ประกาศหาบเร่แผงลอยของ กทม. จะไม่บังคับใช้กับบางพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์พิเศษ” เช่น ถนนเยาวราช ถนนข้าวสาร
“คุณสมบัติของผู้ทำการค้า” ซึ่งเป็นหัวข้อที่กลุ่มผู้ค้ากังวลมากที่สุด และมีการแก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี 2563 ให้ความสำคัญกับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ต่อมาในปี 2564 มีการเพิ่มข้ออื่นๆ อาทิ เป็นผู้พิการ มีบุคคลในครัวเรือนกำลังเรียนหนังสือแล้วกู้เงิน กยศ. เป็นคู่สัญญาซื้อที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ ถูกเลิกจ้าง หรือมีรายได้ไม่เกิน 3.6 แสนบาทต่อปี ส่วนร่างประกาศฉบับใหม่ มีการเขียนให้ชัดว่าโครงการของการเคหะแห่งชาติ คือโครงการบ้านมั่นคง ส่วนเรื่องรายได้ ลดจาก 3.6 หรือ 1.8 แสนบาทต่อปี โดยอิงเส้นความยากจน และผู้ค้าต้องยื่นภาษีทุกปี
“กระบวนการคัดเลือกผู้ค้าในกรณีผู้ลงทะเบียนมีมากกว่าพื้นที่ที่สามารถทำการค้าได้” ประกาศฉบับเดิมใช้การจับสลากแบบ “เซตซีโร่” ไม่ว่าผู้ค้ารายเดิมหรือรายใหม่ถือว่าเริ่มต้นใหม่เท่ากันหมด แต่ร่างประกาศฉบับใหม่จะแบ่งการคัดเลือกตามลำดับชั้น เริ่มจากผู้ค้ารายเดิมก่อน ตามด้วยผู้ค้าที่อาศัยในพื้นที่ และผู้ค้าทั่วไป ส่วนการจับสลากจะเป็นวิธีสุดท้ายที่ถูกนำมาใช้ โดยมองว่า ผู้ค้ารายเดิมรู้จักกันเองและรู้จักผู้ครอบครองอาคารโดยรอบพื้นที่ทำการค้าอยู่แล้ว จึงสามารถสร้างกลไกดูแลกันเองได้ง่าย
ขณะที่ กุลณัฐ สุขสุเมฆ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (Homenet Thailand) ตั้งข้อสังเกตในประเด็น“พื้นที่อัตลักษณ์พิเศษ” กล่าวคือ พื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ วิถีชุมชน ตลาดชุมชน ย่านพื้นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือลักษณะอื่นในทำนองเดียวกัน ว่า “กทม. จะใช้หลักเกณฑ์อะไรมากำหนด?” เพราะเท่าที่เคยพูดคุยกับทางสำนักเทศกิจ แม้เจตนารมณ์ของร่างประกาศฯ คือเขียนให้กว้างเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ค้าหรือชุมชนยื่นขอให้พิจารณา แต่ในความเป็นจริงพบว่าผ่านการพิจารณาได้ยากมาก จึงต้องการให้นิยามเรื่องนี้มีความชัดเจน
ด้าน บวร ทรัพย์สิงห์ นักวิชาการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งข้อสังเกตในประเด็น“ระยะเวลาทบทวนการทำการค้า” ที่กำหนดไว้ทุกๆ 1-2 ปี แล้วแต่พื้นที่นั้นถนนมีช่องจราจรมากหรือน้อยกว่า 3 ช่องจราจร ว่า ในขณะที่ถนนสายรองในซอยให้ขายได้เพียง 1 ปี แต่ถนนสายหลักการจราจรหนาแน่นขายได้ 2 ปี ดูไม่ค่อยสัมพันธ์กัน อีกทั้งระยะเวลา 1 ปียังมีกระบวนการทั้งการติดประกาศ การมาแสดงสิทธิ์ การรอไม่ให้มีผู้ใดยื่นคัดค้าน ซึ่งจะสร้างความยากลำบากไม่เฉพาะกับผู้ค้า แต่ยังรวมถึงเจ้าหน้าที่เทศกิจด้วยในการเตรียมผู้ค้าและเตรียมพื้นที่
หรือในประเด็น “ต้องไม่เป็นพื้นที่ที่เคยมีกรณีพิพาทระหว่างผู้ค้ากับ กทม.” ซึ่งสืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ที่ กทม. ยกเลิกพื้นที่ทำการค้า แล้วมีบางจุดที่ผู้ค้าไปฟ้องศาลเป็นคดีความกับ กทม. การเขียนร่างประกาศไว้แบบนี้จะเท่ากับตัดโอกาสในการนำพื้นที่ที่มีศักยภาพมาจัดให้ทำการค้าหรือไม่? อาทิ อยู่ใกล้ชุมชนหรือแหล่งงาน และมีขนาดทางเท้าที่เหมาะสม เพียงเพราะพื้นที่นั้นเคยมีคดีฟ้องร้องเกิดขึ้น
ยังมีเสียงสะท้อนของกลุ่มผู้ค้า ที่มองว่า “การทบทวนการทำการค้าทุกๆ 1–2 ปี ไม่สร้างความมั่นคงในอาชีพให้กับผู้ค้า” เพราะโดยเฉลี่ยแล้วสำหรับอาชีพค้าขาย 1 ปีแรกคือการลงทุน กว่าจะถอนทุนคืนได้ก็ใช้เวลาประมาณ 2 ปี และกว่าจะสะสมทุนเพียงพอให้ขยับขยายย้ายออกจากพื้นที่สาธารณะไปเข้าตลาดหรือห้างที่ทำเลดีๆ มีร่มเงาไม่ต้องตากแดดก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยราว 3-4 ปี
ยังมีการพูดคุยกันอีกหลายประเด็นเกี่ยวกับร่างประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขายหรือจำหน่ายสินค้าบนถนนหรือสถานสาธารณะ ซึ่งผู้สนใจสามารถรับฟังย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/chula.cusri/videos/954021336320059/
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี