l 3. แล้ว เราเป็นใคร จึงต้องกำหนดอนาคตของเราเองการที่เราเกิดมาเป็นคนไทย ในยุคนี้ รวมทั้งคนรุ่นผมที่มีอายุ ๗๐-๘๐ ปี นับว่า “โชคดีมาก”
@ ตั้งแต่ เริ่มเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย เพื่อนบ้าน และโลกของเราตัวเอง รู้สึก รัก และภาคภูมิใจ ที่ “ได้เกิดมาเป็นคนไทย บนแผ่นดินไทย” ซึ่งความรู้สึกนี้ มาทีหลัง และเดินตามหลังมา
จากความรัก ความรู้สึก ต่อ “ป๋าแม่” ผู้ให้กำเนิดเรา ป๋าแม่ก็รักและภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็น “ลูกของปู่ย่าตายาย” แต่คงจะน้อยกว่า ตัว “ปู่และตา” ที่เกิดในประเทศจีน ในยุคที่ยากลำบากแสนเข็ญยิ่งและได้อพยพ เดินทางเข้ามาอยู่ใน “แผ่นดินไทย” เพียงก้าวแรกที่เท้าได้ก้าวมาบนแผ่นดินไทย
ดวงตามีประกายแห่งความหวัง ที่จะพ้นทุกข์มีสุขและเมื่อได้คู่คิด คู่ชีวิต คู่ใจ ที่ได้เจอ “หญิงไทย” อย่างย่า ยายทั้งสอง ได้ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรค สู้ชีวิตทุกรูปแบบมีวิริยอุตสาหะ สู้ชีวิต...จนสามารถเงยหน้า อ้าปาก ได้ และยังเดินหน้าต่อ สามารถสร้างฐานะเพิ่ม พัฒนาขึ้นเรื่อยๆทั้งตัวปู่ย่า ตายาย ป๋าแม่ และพวกเรา “รุ่นลูก” กว่าจะมาถึงวันนี้ เดินทางมาเป็นหมื่นแสนกิโลเมตร พลิกชีวิต ลิขิตชีวิตด้วยสองมือสองเท้าและเป็นที่มาของแบบอย่าง วัฒนธรรมของการใช้ชีวิต มาสู่พวกเรา
@ ตัวเรา คงไม่สามารถมีความคิดความรู้สึกเช่นนั้นได้เพราะเป็นเพียงคำบอกเล่า ที่ถ่ายทอดต่อมา จาก ปู่ตา ถึง ย่ายาย ลูก หลาน และเหลน แต่เราก็พอมองเห็น และนึกภาพได้รางๆ พอคะเนออก
l และแล้ว เรา อาจจะโชคดีที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ตามเงื่อนไขโอกาส ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และเรา เข้าร่วมไขว่คว้า บนขบวนการแห่งการต่อสู้จากไม่มีสู่มี จากเล็กสู่ใหญ่ จากน้อยสู่มาก มีชัยชนะเล็กกลาง เป็นรางวัลจาก “การทุ่มเททั้งชีวิต ร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ และการแพ้ หรือไม่ชนะ เป็นบทเรียนใหญ่ของชีวิตเราผ่านมา และเข้าร่วมอย่างสมบูรณ์แบบ ในกระบวนการของการพัฒนาเติบใหญ่ “เริ่มต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย”
@ จากพื้นฐานที่มาจากบ้านลำปาง โรงเรียนอรุโณทัยอัสสัมชัญ นั่งรถไฟจากสถานีนครลำปาง มาลงหัวลำโพงกรุงเทพฯ
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ที่เริ่มทำกิจกรรม ควบคู่ไปกับการเรียนมายกระดับมากขึ้น เมื่อเข้าสู่คณะวิศวะจุฬาฯ ณ ปราสาทแดง และต้นจามจุรีให้อะไรกับเรามากมาย
l กิจกรรม ที่มากกว่า การเรียน จากการเห็นคุณค่า และชอบทำกิจกรรมที่ให้กับผู้อื่นและส่วนรวมและการพัฒนาทักษะ ในการสรุปบทเรียน อย่างต่อเนื่องประจำทำให้เราได้พัฒนาตนเองไปข้างหน้า ตลอดเส้นทางเดินในรั้วจามจุรีและสังคม
ในคณะวิศวะฯ “ชมรมวิชาการคณะวิศวะฯ” และการที่รุ่นพี่เห็นฝีมือ จึงมอบให้เป็นตัวแทนของผู้แทนคณะในการทำกิจกรรมในสโมสรนิสิตจุฬาฯ
ชมรมต่างๆ ของสโมสรสจม. ชมรมปาฐกถาและโต้วาที ชมรมค่ายอาสาสมัครจุฬา ฯลฯ และก้าวขึ้นสู่ยอดของสโมสรนิสิตจุฬาฯ คือ “นายกสโมสร” (รวมทั้งอุปนายกคนที่ ๑ มาก่อน)
งานที่คิดและทำเอง งานทำร่วมกับกรรมการฯ งานที่สนับสนุนรุ่นน้องในการทำกิจกรรมที่สำคัญๆ จากงานภายในคณะ สู่งานของสโมสรนิสิตจุฬาฯออกไปสู่งานของสังคม และประเทศ ได้ศึกษาเรียนรู้ จากการผ่านการปฏิบัติทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งด้วยตนเอง และร่วมกับกรรมการ เพื่อนมิตรโดยการทำงานอย่างทุ่มเท เอาจริง เดินเป็นขั้นเป็นตอน มาอย่างต่อเนื่องทำให้ เป็นการพัฒนา “ความคิดการทำงานการจัดการ” ที่สะสม “ความคิด ความรู้ ประสบการณ์” ก้าวขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง
อันเป็นพื้นฐานที่สำคัญ ในการก้าวไปสู่งานการเมืองในระดับประเทศต่อมาฯ เหตุการณ์ที่ไล่เรียงจากเล็กสู่ใหญ่ ที่สำคัญ เช่น
-การเป็นตัวแทนของคณะวิศวะ ในการร่วมสังเกตการณ์เลือกตั้งใหญ่ทั่วไป ปี ๒๕๑๒
-การเป็นตัวแทนดูแลน้องๆ ไป ขาย “ดอกป๊อปปี้ ในวันทหารผ่านศึก”
-การเข้าร่วมคัดค้านผู้บริหารจุฬาฯที่คอร์รัปชั่นฯ
-การร่วมคิดร่วมทำกับ “ธีรยุทธ บุญมี” (นิสิตวิศวฯรุ่นน้อง) ในการรณรงค์ผ้าดิบ และต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นฯ
-ได้รับการเลือกตั้งจากนิสิตจุฬาฯ เป็นอุปนายกสจม.คนที่ ๑ และ นายกสจม.
-เชิญตัวแทนนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ มาชุมนุมที่จุฬาฯ “คัดค้านนักศึกษามาเลเซีย เผาธงชาติไทย”
-เป็นตัวแทนนิสิตจุฬาฯ ร่วมต้อนรับ ควีนเอลิซาเบธ และดยุกจากอังกฤษ เสด็จจุฬาฯ และร่วมโต๊เสวยที่ศาลาพระเกี้ยว
-นำเสด็จประธานาธิบดีอินเดีย Varahagiri Venkata Giri ราชอาคันตุกะของในหลวง ร.๙ ในหอประชุมจุฬาฯ
-ที่ปรึกษา “ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย” ยุคธีรยุทธ บุญมี และ สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นเลขาธิการฯ
ฯลฯ
l จากความคิดและประสบการณ์ ๖ ปี ที่ได้มาจากรั้วจามจุรี หัวใจใหญ่ ที่ได้มา คือ
๑.การมีความสุขในการทำงาน โดยทำงานอย่างมีทิศทางเอาจริง ทำถึงที่สุด
๒.ทำเป็นกระบวนการ ตั้งแต่เริ่มต้น ท่ามกลาง จนสุดปลายทาง ทำให้เราได้รู้และเข้าใจถ่องแท้ถึงงานต่างๆ
๓.ทำด้วยความรัก ความเพียร ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่หวังผลตอบแทน
๔.เข้าใจการทำงานร่วมมือกับเพื่อนมิตร ที่จักนำไปสู่ความสำเร็จได้จริง
๕.ทำเพื่อส่วนรวม สังคมและบ้านเมือง เพื่อความสุขของประชาชนและความเจริญของบ้านเมือง
l ส่วนการทำงานเพื่อส่วนรวม และบ้านเมือง หลังจากเรียนจบวิศวะจุฬาฯ จากปี ๒๕๑๖ มาถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า กึ่งศตวรรษ (๕๐ ปี) มีมากมาย ทั้งงานอาชีพ และงานการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ซึ่งทำให้เราได้เข้าใจคุณค่าและความหมาย ของชีวิตเรื่องส่วนตัว ส่วนรวม เรื่องบ้านเมืองและประเทศชาติโดยเฉพาะในเรื่องของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ผ่านมาอย่างโชกโชนทำให้ได้บทเรียนตามสภาพความเป็นจริง จากการที่เราได้เห็นถึงความสำคัญของการสรุปบทเรียนเพื่อนำมาปรับปรุง และพัฒนาตนเอง ทั้งด้านการทำงาน ความคิด ทางธรรมในที่สุดฯ
จะขอสรุป 2 เรื่องที่สำคัญ เพื่อเป็นบทเรียน คือ
1.งานสำคัญที่ได้ทำมา
๑.การเข้าร่วมก่อตั้ง “กลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ” จนถูกจับกุมไป ๑๓ คน และเกิดการชุมนุมใหญ่ของนักศึกษาประชาชนจนเกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
๒.ร่วมกับมิตรสหาย จัดตั้ง “กลุ่มปช.ปช” ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเดินทางออกไปปราศรัยในมหาวิทยาลัยต่างๆ และกลุ่มประชาชนหลากหลายในภาคต่างๆ
๓.ร่วมก่อตั้งและเป็นกรรมการบริหารพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยออกเผยแพร่นโยบายของพรรคในพื้นที่ต่างๆ งานกรรมกร ชาวนาและประชาชนฯ
๔.๗ สิงหาคม ๒๕๑๙ เดินทางเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในฐานะแนวร่วมฯ
๕.เข้าร่วมในเหตุการณ์ “พฤษภาคม ๒๕๓๕”
๖.เข้าร่วมเป็นสมาชิก และกรรมการบริหารพรรคพลังธรรม
๗.เข้าร่วมการต่อสู้ในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ มาตลอด
2.สาระของเรื่องที่สังคมควรรับทราบ
๑.หลักการทำงานที่ดีและถูกต้อง ต้องแสวงหาสัจธรรมจากความเป็นจริงคือ เริ่มทำงานจากสภาพความเป็นจริงของสังคม มิใช่อคติ
๒.ต้องเอาจริงในการทำงาน และควรเข้าร่วมงานอย่างเป็นกระบวนการ “เริ่มต้น ท่ามกลาง จนถึงสุดท้าย” จะทำให้เรารับรู้เรื่องราวอย่างครบถ้วน
๓.ต้องใช้สติปัญญา ความจริง ในการคิดและทำงาน จะทำให้เราเข้าใจอย่างเป็นระบบเดินไปอย่างถูกทาง และไม่หลงทาง
๔.มองปัญหาเชิงโครงสร้างระบบ และคุณของคนและสังคม จะเป็นการแก้ปัญหาได้จริง
๕.ยอมรับความเป็นจริงถึงฐานะบทบาทและคุณูปการของสถาบันหลักของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มิใช่หมายความว่า “สถาบันฯ ดีเลิศ ถูกต้องหมด”, มีบางเรื่องต้องปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป แต่โดยหลักใหญ่ “สถาบันมีส่วนสำคัญที่ทำให้เรา ประเทศและประชาชน” อยู่ได้มาถึงวันนี้
๖.ในการต่อสู้เพื่อส่วนรวม บ้านเมือง จำเป็นต้องมีการเสียสละ โดยต้องนำไปสู่สิ่งที่ดีงาม
๗.ปัญหาใหญ่ของสังคมไทย คือ “การยึดติดความคิดประชาธิปไตยตะวันตก” มาครอบมากำหนดสังคม (ของผู้นำสังคมในทุกภาคส่วนฯ) โดยไม่มีการประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของสังคมไทยทำให้เราติดหล่มปัญหา ติดอยู่ในถ้ำแห่งอวิชชา หาทางออกไม่ได้
๘. รวมทั้ง การตีความ “เรื่องประชาธิปไตยและเผด็จการ” ประชาธิปไตยถูก เผด็จการผิด ซึ่งต้องมีการพิจารณาจากความเป็นจริงในแต่ละยุคสมัยซึ่งมีเนื้อหาที่สำคัญคือ
(๑) ประชาธิปไตยและเผด็จการมีทั้งข้อดีและข้อเสีย(ศึกษาจากประวัติศาสตร์)
(๒) รัฐบาลที่ผ่านมา ที่ได้ชื่อว่า “เป็นประชาธิปไตย” มาจากการเลือกตั้งโดยไม่สนใจว่า “เป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรมหรือไม่” ซึ่งมีทั้งรัฐบาล ที่ดี เสมอตัว ไม่ดี แย่ ฯลฯ
(๓) รัฐบาลที่ถูกเรียกว่า “เป็นเผด็จการ เพราะมาจากการรัฐประหารโดยไม่ศึกษาต่อไปว่า รัฐประหารจากรัฐบาลดีหรือไม่ เลวหรือไม่”
และผลจากการบริหารงานของรัฐบาลนั้นๆ ดีเสีย มากน้อยเพียงใดประชาชนและประเทศชาติได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์หรือไม่ อย่างไร
(๔) รัฐบาลประชาธิปไตย ก็มีระดับต่างกัน เช่นเดียวกับ รัฐบาลเผด็จการ ก็มีระดับที่ต่างกันการที่เราไปเหมารวม ว่า รัฐบาลประชาธิปไตย ดีเท่ากันหมด หรือรัฐบาลเผด็จการ เลวเท่ากันหมดเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างร้ายแรง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี