วันพุธ ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
สาธารณรัฐอินเดียเพิ่งเสร็จสิ้นการเลือกตั้งทั่วไปในระบอบประชาธิปไตยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยมีประชากรกว่า 900 ล้านคนจากพลเมืองทั้งหมดประมาณ 1,400ล้านคน เป็นผู้มีสิทธิ์ใช้เสียง
การเลือกตั้งกินระยะเวลาร่วม 4 เดือน เนื่องจากต้องมีการแบ่งการเลือกตั้งออกเป็นช่วงๆ และเป็นกลุ่มจังหวัด เพื่ออำนวยให้มีเวลาที่จะเตรียมการเลือกตั้ง และการเปิดโอกาสให้บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งพรรคการเมืองระดับชาติ และพรรคการเมืองระดับท้องถิ่น ได้มีเวลาหาเสียง และเคลื่อนคณะหาเสียงไปได้ทั่วประเทศ จัดได้ว่าเป็นมหากาพย์ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของโลกก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม กระบวนการเลือกตั้งได้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ปราศจากความรุนแรง และข้อครหาการซื้อเสียง และทั้งพรรคการเมืองและพลเมืองก็ต่างยอมรับผลการเลือกตั้งกันด้วยดี สะท้อนซึ่งความสำเร็จของระบอบประชาธิปไตยของประเทศกำลังพัฒนาที่มีอาณาบริเวณใหญ่โต และมีจำนวนประชากรเป็นที่หนึ่งของโลก
ประชาธิปไตยของอินเดียเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1947 เมื่ออินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ และประชาธิปไตยของอินเดียก็คงอยู่ยืนหยัดมาได้อย่างสง่างามจนบัดนี้ แม้ว่าอินเดียจะยังคงมีปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การไม่รู้หนังสือ ไปจนถึงการเข้าถึงซึ่งการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานอยู่ แต่ทั้งนี้การเบ่งบานของประชาธิปไตยของอินเดียก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า อุปสรรคต่างๆ ที่ติดอยู่กับประเทศกำลังพัฒนานั้น มิได้เป็นข้อจำกัดของการเป็นสังคมประชาธิปไตยแต่อย่างใด และมิได้เป็นข้ออ้างที่สังคมประเทศจะต้องถูกปกครองด้วยระบบเผด็จการไม่ว่ารูปแบบใด
คู่ขนานกับการพัฒนาประชาธิปไตยนั้น อินเดียก็สามารถพัฒนาเศรษฐกิจไปด้วยได้ โดยการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ ของอินเดียก็มิได้เป็นรองใคร โดยอินเดียก็เป็น 1 ใน 5 ประเทศของโลกที่สามารถส่งยานอวกาศไปที่ดวงจันทร์ได้
ในขณะที่อินเดียกำลังเดินทางไปในทิศทางของสังคมประชาธิปไตย ตรงกันข้ามกับจีนใช้เส้นทางสังคมเผด็จการ แต่ทั้ง 2 ประเทศก็มีอัตราการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ด้อยไปกว่ากัน แถมกำลังแข่งขันกันสู่ความเป็นเลิศในด้านต่างๆ
ชาวโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่เรียกว่า ประเทศในโลกที่สาม หรือประเทศในโลกใต้ (Global South) ก็มี 2 แบบอย่างให้เลือก 1.อินเดียก้าวหน้าไปได้ในระบบเปิด ประชาชนพลเมืองมีสิทธิเสรีภาพ หรือ 2.จีนก้าวหน้าไปได้ภายใต้บรรยากาศของลัทธิแห่งความกลัวและกดขี่
หลายๆ ประเทศกำลังพัฒนาตกอยู่ในสภาวะกึ่งประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการ ดังเช่น ประเทศไทย และสภาวะดังกล่าวนี้สะท้อนซึ่งความขัดแย้งและการไม่ลงตัวในทิศทาง ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการปรึกษาหารือหาข้อยุติ ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะคนไทยเป็น “ไท” เป็นเสรีชน และจิตวิญญาณของคนไทยเราคือหลักธรรม
อินเดียถือเป็นแหล่งที่มาของความเชื่อถือและประเพณีวัฒนธรรมแต่อดีตให้กับสังคมไทย มาบัดนี้อินเดียก็น่าจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นขวัญกำลังใจให้กับการเสริมสร้างการเป็นสังคมประชาธิปไตยให้กับไทยได้เช่นกัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com

โปรดเกล้าฯให้'พลเอก สัญชัย รุ่งศรีทอง' พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์
ด่วน! เรือเจ็ตสกีถูกยิงไล่หลัง'เขต8' ต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่เสี่ยง
ศป.ฉก. เปิดยอดอพยพ 8,515 คน 7.7 หมื่นคนขอความช่วยเหลือ นายกฯย้ำอยู่จนน้ำลด
‘ในหลวง‘โปรดเกล้าฯให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ จัดส่งสิ่งของพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภค ช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้
'ธรรมนัส'อพยพชาวหาดใหญ่กว่าพันคน ส่งต่อถึงศูนย์พักพิง ยันยืนเคียงข้างปชช.จนคลี่คลาย

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี