วันจันทร์ ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“เรารู้ว่าตอนนี้เราอยู่ในสังคมสูงอายุแล้ว ในขณะเดียวกันเราก็รู้ว่าจะมีการขาดแคลนแรงงานในการทำงานในตลาดแรงงานทั่วไป แต่อีกกลุ่มหนึ่งที่เราพูดถึงกลมๆ แต่ไม่รู้ว่าจำนวนที่เราต้องการอยู่ที่เท่าไร ก็คือกลุ่มที่เป็นคนดูแลผู้สูงอายุ อย่างที่เรารู้ว่าคนที่ดูแลผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ใกล้ชิด เป็นลูกหลาน แต่แน่นอนเราอยู่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างประชากร โครงสร้างครอบครัวด้วย
ฉะนั้นคนที่จะหนักมากๆ ก็จะเป็นคนที่อยู่ตรงกลางที่จะต้องช่วยดูแล ซึ่งตรงนี้เองก็เลยมีกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป บางคนก็ตัดสินใจร่วมว่าจะจ้างคนดูแลที่เป็นลูกจ้างมาร่วมสนับสนุนโดยเฉพาะ หรือบางคนก็อาจจ้างมาเพื่อมาช่วยสนับสนุนการดูแลของลูกหลานเองด้วย ซึ่งอันนี้เอง ความหนัก-เบาของร่างกาย มันก็มีผลต่อความต้องการผู้ดูแลแตกต่างกันไป”
รศ.ดร.รัตติยา ภูลออ วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยาย (ออนไลน์) ในหัวข้อ “การคาดประมาณความต้องการผู้ดูแลและแรงงานสำหรับการดูแลผู้สูงอายุที่บ้านของไทยถึงปี 2580” จัดโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อเร็วๆ นี้ ฉายภาพความสำคัญของ “งานดูแลผู้สูงอายุ” ที่นับวันจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย
สำหรับงานดูแลผู้สูงอายุ หรือในภาษาอังกฤษคือ “Caregiver” มีทั้งแบบไม่เป็นทางการ (Informal) เช่น ลูก หลาน เพื่อนบ้าน คนในชุมชน และแบบเป็นทางการ (Formal) คือคนที่ทำงานนี้โดยเฉพาะและได้รับเงินค่าจ้าง ขณะที่ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 และในส่วนของนโยบาย เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13(ปี 2566-2570) แผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ 3(ปี 2566-2580) เป็นต้น
ในส่วนของ Caregiver ที่มีลักษณะเป็นงานและมีการจ่ายค่าจ้างเพื่อให้ดูแลผู้สูงอายุ เช่น พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล คนในชุมชนที่รับจ้างดูแลผู้สูงอายุทั้งประจำและเป็นครั้งคราว รวมถึงลูกจ้างทำงานบ้าน ซึ่งนอกจากจะต้องดูแลความสะอาดของบ้านนายจ้างแล้วหลายครั้งยังต้องช่วยดูแลผู้สูงอายุในบ้านของนายจ้างด้วย ทั้งนี้ “ในอนาคตการจะจ้างคนดูแลผู้สูงอายุน่าจะหาแรงงานได้ยากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ก็มีทางเลือกในงานอื่นๆ อยู่”และต้องยอมรับว่าการดูแลผู้สูงอายุเป็นงานที่ทั้งหนักและมีแรงกดดันทางจิตวิทยาอยู่พอสมควร
ดังนั้นแล้ว “แรงงานข้ามชาติก็อาจเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการมาสนับสนุนงานดูแลผู้สูงอายุ” แต่ก็มีความท้าทายอยู่ว่า การจ้างชาวต่างชาติมาดูแลผู้สูงอายุยังไม่ค่อยถูกยอมรับมากนัก ขณะที่เมื่อดูในแง่กฎหมาย ประเภทของงานที่อนุญาตให้แรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านของไทย (เมียนมา ลาวและกัมพูชา) อันเป็นแรงงานข้ามชาติกลุ่มหลักในประเทศไทย จะมีเพียง 2 อาชีพ คือลูกจ้างทำงานบ้านกับกรรมกร จึงไม่มีความชัดเจน

กล่าวคือ ในตอนแรกจ้างแรงงานข้ามชาติเพื่อมาดูแลบ้าน แต่ด้วยความจำเป็นก็ต้องให้ช่วยดูแลผู้สูงอายุในบ้าน ซึ่ง “ทักษะการดูแลผู้สูงอายุ” ก็ยังเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในเชิงการดูแลสุขภาพ และหากเห็นว่ามีความจำเป็นก็จะต้องทำเรื่องของอาชีพนี้ให้ชัดเจน เพื่อกำหนดคุณสมบัติให้ชัดว่า แรงงานที่จ้างมานอกจากทำงานบ้านแล้วยังต้องดูแลผู้สูงอายุด้วยควรจะมีทักษะอะไรบ้าง รวมถึงคาดการณ์จำนวนแรงงานดูแลผู้สูงอายุที่ต้องการด้วยในเชิงนโยบาย
ประการต่อมา “ความจำเป็นของผู้สูงอายุในการมีผู้ดูแล”ซึ่งอาจดูจาก 5 ส่วน คือ 1.การรับประทาน 2.การอาบน้ำ 3.การแต่งตัว4.การใช้ห้องน้ำ และ 5.การเคลื่อนย้ายระหว่างเตียงกับพื้นที่อื่นๆแบ่งระดับได้ตั้งแต่ “การพึ่งพิงแบบต่ำถึงแบบสูง” ขึ้นอยู่กับว่าผู้สูงอายุคนนั้นสามารถทำ 5 อย่างดังกล่าวได้ด้วยตนเองมาก-น้อยเพียงใด “ไม่ใช่ทุกคนที่เมื่ออายุมากขึ้นแล้วจำเป็นต้องมีผู้ดูแล” โดยขึ้นอยู่กับ “สภาพร่างกาย” ของแต่ละคน เช่น ในบางกรณี คนอายุเพิ่ง 60 ต้นๆ กลับต้องการคนดูแลมากกว่าคนอายุ 80 ปลายๆ เนื่องจากคนหลังนั้นมีสุขภาพดีกว่าคนแรก
“ประเด็นอันหนึ่งที่สำคัญมากๆ เวลาเราคุยในมุมของผู้ดูแลนอกเหนือจากจำนวนที่ไม่พอ ค่าจ้างต่อหัวที่ค่อนข้างสูงมันทำให้บ้านเรือนที่ยากจนเข้าถึงตรงนี้ได้ยาก ตอนที่ไปสัมภาษณ์เองก็เห็นเลยว่าบางคนอายุมากๆ รายได้ครัวเรือนต่ำ ก็จะบอกว่า “บางทีไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว” เพราะรู้สึกว่าตัวเองอยู่แล้วเป็นภาระ ซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะละเลยได้ ตรงนี้มันจะมีนโยบายที่สอดคล้องใกล้เคียงกันต้องหารือกันเอง เช่น การลาของลูกหลาน เป็นต้น” รศ.ดร.รัตติยา ระบุ
สำหรับการประมาณการความต้องการแรงงานในงานดูแลผู้สูงอายุ ในกลุ่มที่จำเป็นต้องมีผู้ดูแล ซึ่งพบว่า ในปี 2564 มีผู้สูงอายุราว 2 หมื่นคน ที่มีการจ้างผู้ดูแล แต่ในปี 2580 น่าจะเพิ่มขึ้นเป็นอีกร้อยละ 70 หรือหากคำนึงถึงความเหมาะสมด้านสิทธิแรงงาน (เช่น การจ้างคน 1 คน ดูแลผู้สูงอายุตลอด 24 ชั่วโมง เป็นงานที่หนักเกินไป) ก็อาจเพิ่มขึ้นอีกถึง 4 เท่าเพื่อให้เหมาะสม นอกจากนั้น หากนับรวมตัวแปรเรื่องการเป็นผู้สูงอายุอยู่คนเดียว เข้าถึงบริการการดูแลจากชุมชนได้น้อย และเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีที่จำเป็น ในปี 2580 ความต้องการอาจเพิ่มขึ้นถึง 13 เท่า
รศ.ดร.รัตติยา สรุปผลการศึกษานี้ว่า ความชัดเจนเรื่องการมีคนมาช่วยดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงการดูแลแรงงานในงานดูแลผู้สูงอายุ หากมีนโยบายที่ชัดเจนจะช่วยให้วางแผนได้ทั้งการพัฒนาทักษะของแรงงาน การมองจำนวนแรงงานที่สอดคล้องกับความต้องการ และการปรับปรุงสิทธิแรงงาน รวมไปถึงการส่งเสริมการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการดูแล (Care Facilities) หรือทรัพยากรต่างๆ เพิ่มขึ้น ส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy)
ตลอดจนการยอมรับในศักยภาพของลูกจ้างทำงานบ้าน เพราะหลายครัวเรือนก็ใช้ลูกจ้างทำงานบ้านดูแลผู้สูงอายุตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพูดคุยกันว่าเหมาะสมหรือไม่!!!

จับตา‘ไทยก้าวใหม่’ส่ง‘ทนายนา’ลุ้นปักธงเขต 1 โคราช ชูทางเลือกใหม่สู้ศึกพรรคใหญ่
หลุดพ้นทนหายใจสู่ไทยหายจน! ‘อภิสิทธิ์’เปิดแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งปชป.
ราคาทองวันนี้ ราคาปรับเพิ่ม 450 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 65,350
สาดสีใส่ไทยสารพัด! เขมรเล่นบทเหยื่อต่อเนื่อง ร่อนจดหมายถึงทั่วโลก จี้นานาชาติอย่าเงียบ
เช็คที่นี่!เปิด 100 ปาร์ตี้ลิสต์‘ภูมิใจไทย’แบบไม่จัดอันดับ จับตา 24 ธ.ค.‘อนุทิน’นำแถลงนโยบายพรรค

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี