อีก 3เดือนเข้าปีที่สอง นับตั้งแต่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหารประเทศ มีแต่เรื่องวิบัตฉิบหายเกิดขึ้นในประเทศนี้ ความเจริญที่ได้กลิ่นและส่งเสียงกันจี๊ดจ๊าดซี๊ดซ๊าด หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา ตีตั๋วไปต่อไม่ได้ ถามว่าไหนล่ะ ความเจริญที่รัฐบาลประชาธิปไตยจอมปลอมโฆษณาหาเสียงไว้ตอนเลือกตั้ง
โครงการแจกเงินดิจิทัล“1 หมื่นบาท” ถลุงไปแล้วเกือบ 2แสนล้านบาท ในเฟสแรกและเฟสสอง ทั้งที่เงินงบประมาณแผ่นดินก็ไม่มี อีกทั้งคนไทยทุกภาคส่วนก็ได้ลุกขึ้นมาคัดค้านตักเตือนถึงผลเสียที่จะมีมากกว่าผลได้ แต่ก็ไม่ฟัง และในที่สุดวันนี้ก็ต้องระงับแจกในเฟสสาม ซึ่งจะต้องใช้เงินล้างผลาญถึง 2.7 หมื่นล้านบาท เพื่อแจกให้แก่ผู้มีอายุระหว่าง 16-20 ปี จำนวน 2.7ล้านคน อันเป็นกลุ่มเป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งต่อไปของพรรคเพื่อไทย
เพราะนอกจากจะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยที่พายุหมุน 4ลูกไม่เกิดตามราคาคุยแล้ว เศรษฐกิจไทยก็มีแต่จะดิ่งหัวทรุดหนักลงไปอีก หันหน้าไปทางไหนก็มีแต่เสียงคนบ่น ราคาสินค้าข้าวของแพง, ตลาดเงียบเหงา, นักท่องเที่ยวหาย, เงินทองฝืดเคือง, หุ้นตก, ส่งออกซบเซา,ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ, หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะของประเทศทบทวี ฯลฯ
เข้ามาเป็นรัฐบาลในตอนแรก หาข้ออ้างใส่ความไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเป็นรัฐบาล 8ปีไม่มีอะไร ทำให้ประเทศล้าหลัง ก็ยังมีคนไทยที่มีสติปัญญาน้อยนิดแต่มีจำนวนมาก ดันหลงเชื่อเสียด้วย และถึงวันนี้ไม่สามารถจะหลอกกันต่อไปได้อีกแล้ว ก็โยนไปที่สถานการณ์โลก
ฟังเสียงได้จากอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้สั่งการชี้นำชักใย“แพทองโพย”นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลชุดนี้ ที่ยังติดหล่มอยู่กับอดีตสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย จากการให้สัมภาษณ์ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 13 เมษายนเดือนที่แล้วว่า
“วันนี้ลำพังเราสามัคคีกันก็ยากอยู่แล้ว เพราะปัจจัยภายนอกมีมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะปัจจัยสงครามการค้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เราต้องปรับตัวเยอะพอสมควร,เราต้องการความสามัคคีจากคนในชาติที่มองจะไปข้างหน้าอย่างสร้างสรรค์ด้วยกัน อย่าไปมองอะไรที่เป็นข้อระแวงข้อสงสัย รับรองว่าเราจะทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ประเทศเราแข็งแรงขึ้นได้ เพราะนายกรัฐมนตรีตั้งใจมากที่จะทำ เขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นสังคมแข็งแรง,เราต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เรารับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย แต่ไม่ได้แปลว่า ความเห็นจากทุกฝ่ายจะต้องได้รับการยอมรับ แต่จะได้รับการพิจารณาทุกคน”
ถอดความ“ทักษิณ ชินวัตร”จากที่ยกมา ก็จะเห็นว่า ถ้าเศรษฐกิจประเทศนี้จะวิบัติฉิบหาย ก็เพราะเงื่อนไขจากปัจจัยภายนอก และก็ไม่ใช่เพราะรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำรัฐบาล ไร้ความสามารถ เนื่องจากทักษิณ“ชูหาง-ยกก้น”บุตรสาวของตนว่า “นายกรัฐมนตรีตั้งใจมากที่จะทำ เขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นสังคมแข็งแรง”
และสำคัญที่สุด ซึ่ง“ทักษิณ ชินวัตร”กล่าวว่า “เรารับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย แต่ไม่ได้แปลว่าความเห็นจากทุกฝ่ายจะต้องได้รับการยอมรับ แต่จะได้รับการพิจารณาทุกคน”นั้น ชัดเจนที่สุดว่า รัฐบาลพรรเพื่อไทยที่ปากว่าเป็นประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้ง ไม่ฟังเสียงประชาชน คือ ทักษิณนายกรัฐมนตรีตัวจริงบอกว่า“ฟัง” แต่ไม่ได้หมายความว่า“จะต้องได้รับการยอมรับ” ดังนั้น โครงการแจกเงินดิจิทัล“1หมื่นบาท” จึงกลายเป็นโครงการ“ล้างผลาญ”เพื่อประโยชน์ของพรรคเพื่อไทย
เรื่องปัญหาความรุนแรงในจังหวัดภาคใต้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ลุกลามบานปลายหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม นั่นก็เพราะ“ทักษิณชินวัตร” และรัฐบาลซึ่งมีหัวขบวน คือ“แพทองโพย”ผู้ขาดความรู้ความสามารถและอ่อนด้อยประสบการณ์บริหารประเทศ
“ทักษิณ ชินวัตร” เดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 23กุมภาพันธ์เมื่อสามเดือนก่อน ในฐานะที่ปรึกษา“อันวาร์อิบราฮิม”นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียน โดยมีเสียงบึ้มของระเบิดแสวงเครื่องที่กลุ่มผู้ก่อการวางไว้ เพื่อสื่อสัญญาณว่าไม่ต้องการต้อนรับ แต่ยังโชคดีที่แคล้วคลาดรอดมาได้ ปรากฏว่า“คำขอโทษ”ของทักษิณต่อคนไทยมุสลิมที่ตนเองเคยสร้างรอยแค้นไว้เมื่อ 21ปีที่แล้ว ก็มิได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และสวนทางกับที่ป่าวประกาศว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
ดังที่นายภูมิธรรมเวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเดินทางร่วมคณะไปกับ“ทักษิณชินวัตร” ได้ให้สัมภาษณ์แทน“นายใหญ่”ด้วยความมั่นใจว่า “หลังจากท่านอดีตนายกฯทักษิณได้ฟังปัญหาในพื้นที่แล้ว คิดว่าการแก้ไขปัญหาไม่น่าจะยากมาก,ปีนี้น่าจะเห็นสัญญาณที่ชัดเจน จะมีทิศทางที่ดีขึ้น และปีหน้าจะหาทางจบเรื่องนี้”
จนถึงนาทีนี้ ไม่เพียงแต่ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะไม่จบง่ายๆ ดังที่นายภูมิธรรมเวชยชัย ใช้จินตนาการพูดเท่านั้น ปัญหาความมั่นคงของชาติที่เกี่ยวพันกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบก็ยังปะทุขึ้นมารุมเร้าอีกด้วย ทั้งกัมพูชา และลาว ที่กำลังฮึ่มๆ และมีเสียงระเบิดเสียงปืนดังอยู่ในเวลานี้
มิหนำซ้ำเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมเมื่อวานนี้ “ภูมิธรรมเวชยชัย”ก็ยังให้สัมภาษณ์สื่อเรื่องการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกว่า “ผมยินดีที่จะเจรจาพูดคุย ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐเป็นรัฐเดียวแบ่งแยกไม่ได้ การเจรจาเพื่อเป็นรัฐปาตานี หรือรัฐอะไรก็ตาม เราไม่พร้อมเจรจาด้วย”
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ นอกจาก“นายใหญ่” และ“คุณหนูนายน้อย-แพทองโพย”จะเป็นที่มาของความวิบัติฉิบหายแล้ว ก็ยังสะท้อนให้เห็นอีกด้วยว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ชื่อ“ภูมิธรรม เวชยชัย”นั้น-ใช้การไม่ได้จริงๆ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี