เมื่อวานนี้ สภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนชื่อ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็น “สำนักงานพระคลังข้างที่”
1. ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ
2. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอหลักการ
ระบุว่า เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 เพื่อเปลี่ยนชื่อ “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” เป็น “สำนักงานพระคลังข้างที่”
และโอนกิจการของสำนักพระราชวังเฉพาะส่วนของพระคลังข้างที่ ไปเป็นส่วนของสำนักงานพระคลังข้างที่
โดยที่ “พระคลังข้างที่” เป็นหน่วยงานที่มีภาระหน้าที่ดูแลพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งต่อมา มีการจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เพื่อทำหน้าที่แทน
เพื่อเป็นการสืบทอดความเป็นมาให้สอดคล้องกับโบราณราชประเพณี จึงสมควรเปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็น “สำนักงานพระคลังข้างที่”
และสมควรรวมกิจการสำนักพระราชวัง เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับพระคลังข้างที่เดิมเข้ามาบริหารจัดการในส่วนของพระคลังข้างที่ตาม พ.ร.บ.นี้
เพื่อให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติให้แจ้งสภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณาด้วยคณะกรรมาธิการเต็มสภา
3. ฝ่ายพรรคส้ม ที่เคยมี สส.บิดเบือนโจมตีสถาบันด้วยวาทกรรมงบสถาบันพระมหากษัตริย์ (ข้อมูลเท็จ บิดเบือนให้คนเข้าใจผิด)
ในที่ประชุมสภาเมื่อวานนี้ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายตอนหนึ่งว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่บัญญัติขึ้นมาใหม่ในยุครัฐบาล คสช. เมื่อปี 2561 ซึ่งการออกกฎหมายในครั้งนั้นส่งผลให้การดูแลและบริหารพระราชทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เช่น ชื่อเรียก crown property หรือทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เคยเรียกกันว่า “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ในรัชสมัยก่อนหน้านี้ ได้เปลี่ยนเป็น “ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์” ขณะที่ “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” เปลี่ยนเป็น “ทรัพย์สินในพระองค์” อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ เป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อ “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ตามกฎหมายปี 2561 เป็น “สำนักงานพระคลังข้างที่” แต่เพียงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พวกตนจึงไม่มีประเด็นอะไรที่จะคัดค้านร่างกฎหมายของรัฐบาล
4. ประเด็นผ่านสภา 3 วาระรวด
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทน ครม.ผู้ทำหน้าที่เสนอกฎหมาย ชี้แจงว่า ในการประชุม ครม.มีการหารือกันว่าจะมีการพิจารณา 3 วาระรวดหรือไม่ ซึ่งตนได้ไปศึกษากฎหมายในลักษณะเดียวกันที่ผ่านมาในอดีต เห็นว่าส่วนใหญ่พิจารณาเป็น 3 วาระรวด อีกทั้งร่างกฎหมายฉบับนี้ มีเพียง 6 มาตรา ซึ่ง 3 มาตราแรกก็เป็นรูปแบบกฎหมายปกติ จึงขอให้พิจารณา 3 วาระรวด ตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภา
นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทำหน้าที่ประธานสภา ได้ยกข้อบังคับการประชุม ข้อ 120 วรรคสอง หาก ครม.ร้องขอให้พิจารณา 3 วาระรวด
ก็จะต้องทำตามที่ ครม.ขอ
หลังจากนั้น ที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการด้วยมติ 451 ต่อ 0 งดออกเสียง 2 จากผู้ลงมติ 453 คน
ต่อมา ในการพิจารณาในวาระที่ 2 ผลการพิจารณาชื่อร่าง ไม่มีการแก้ไขคำปรารภไม่มีการแก้ไข และมาตรา 1 ถึง มาตรา 6 ไม่มีการแก้ไข
ต่อมา เข้าสู่การพิจารณาวาระที่สาม มติที่ประชุมเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ด้วยมติ 454 ต่อ 0 เสียง
งดออกเสียง 2 เสียง
จากผู้เข้าร่วมประชุม 456 คน
5. ก่อนหน้านี้ ดร.นิว Suphanat Aphinyan ได้ให้ข้อมูลชี้แจงตอบโต้ฝ่ายบิดเบือนโจมตีสถาบันไว้ชัดเจน ระบุว่า
“ฝากถึงนักวิชาบิดเบือนล้มเจ้าสองตัวนี้ด้วยครับ
เนื่องจากศาสดาล้มเจ้าหลายรายออกมาปั่นกระแสบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิดๆ ต่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่จะเปลี่ยนชื่อ “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” และปรับลดโครงสร้างซ้ำซ้อนเป็น “สำนักงานพระคลังข้างที่” ซึ่งจะมีการพิจารณาในรัฐสภาระหว่างวันที่ 28-31 พ.ค. 2568
โดยกล่าวหาว่ากลับไปสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่าในระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์(Absolute Monarchy) อำนาจการบริหารราชการแผ่นดินทั้งหมดอยู่ที่พระมหากษัตริย์ แต่ทว่านับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (Constitutional Monarchy) พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนและมีรัฐธรรมนูญ
พระราชอำนาจส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิมของพระมหากษัตริย์ได้พระราชทานแก่ประชาชน ถ่ายโอนมาเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชน และอำนาจดังกล่าวได้เป็นที่มาของรัฐธรรมนูญ ด้วยสภาพสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ซับซ้อนยิ่งกว่าในอดีตโดยสิ้นเชิง การกลับไปสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงเหลวไหลเป็นอย่างมาก เป็นการกล่าวหาที่ตื้นเขินทางการศึกษาและสติปัญญา
เช่นเดียวกับอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน สมัยก่อนอำนาจทางการคลังทั้งหมดก็เป็นของพระมหากษัตริย์ แต่ทว่าอำนาจทางการคลังในระบอบประชาธิปไตยปัจจุบันเป็นของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน งบประมาณแผ่นดินทั้งหมดถูกบริหารจัดการโดยนักการเมืองผู้แทนของประชาชน ขณะที่ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอำนาจทางการคลังและงบประมาณแผ่นดิน
ที่สำคัญ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่ยังคงอ้างอิงหลักการสำคัญเดิมของ พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 ซึ่งมาตรา 4 แบ่งประเภทของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไว้ชัดเจน “ทรัพย์สินในพระองค์” คือ “ทรัพย์สินส่วนตัว” และนอกเหนือจากนั้นเป็น “ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์” คือ “ทรัพย์สินติดบัลลังก์” ไม่ได้ถูกรวมเป็นทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดตามที่ศาสดาล้มเจ้าชอบกล่าวหา
ดังนั้น เมื่อพิจารณาเนื้อหาใน พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ฉบับใหม่จึงยังคงพบว่ามีการแบ่งทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็น “ทรัพย์สินส่วนตัว” และ “ทรัพย์สินติดบัลลังก์”
ตลอดจนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนชื่อเป็น “พระคลังข้างที่” โดยปรับปรุงลดโครงสร้างซ้ำซ้อน มีแต่จะก่อให้เกิดประโยชน์ และไม่ได้นำพาประเทศไทยกลับไปสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่อย่างใด”
6. ในความเป็นจริง สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จัดตั้งตาม พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491
มีการแก้ไข พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 และ อีกครั้งใน พ.ศ. 2561
ความจริง ในยุครัชกาลปัจจุบัน ในหลวงไม่ทรงรับเงินปีจากรัฐบาล และทรงใช้เงินส่วนพระองค์พระราชทานเงินปีให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ (ไม่ใช้เงินจากรัฐบาล)
ยิ่งกว่านั้น ในหลวงทรงเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีละมหาศาล นั่นเป็นผลจากการจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในยุคนี้เอง
ตามร่าง พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2568 ทรัพย์สินในพระองค์ กับ ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ ยังคงแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
ทรัพย์สินในพระองค์ พูดง่ายๆ คือ ทรัพย์สินของราชสกุลมหิดล
ส่วนทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์สินที่จะตกทอดต่อไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์ในภายภาคหน้า
ส่วน “พระคลังข้างที่” นั้น เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์มาแต่โบราณกาล ก่อนจะมีการจัดตั้งสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เพื่อทำหน้าที่แทน
บัดนี้ เพื่อเป็นการสืบทอดประวัติความเป็นมาให้สอดคล้องกับโบราณราชประเพณี ก็เปลี่ยนชื่อสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็นสำนักงานพระคลังข้างที่ และรวมกิจการของสำนักพระราชวัง เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานพระคลังข้างที่เดิม เข้ามาบริหารจัดการโดยสำนักงานพระคลังข้างที่ ตามพระราชบัญญัตินี้ ก็เท่านั้นเอง
ทั้งหมด ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
ตอกย้ำว่า ศาสดาล้มเจ้า มันโคตรมั่ว และพร้อมจะฉวยโอกาสปั่นหัวคนที่มีอคติให้เกิดความขัดแย้งต่อสถาบันหลักของประเทศอยู่ตลอดเวลา วางใจไม่ได้เลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี