แปลกแต่จริงสำหรับการเมืองในประเทศไทย นักการเมืองพูดถึงประชาธิปไตย แต่ไม่เคยมีสำนึกเรื่องประชาธิปไตย ปากอ้างประชาชน แต่ไม่เคยฟังเสียงประชาชน
สำคัญที่สุดก็คือ ปากบอกว่า จะทำงานโดยซื่อสัตย์สุจริต แต่กลับกลายเป็นว่า ประชาชนที่ไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งนักการเมืองเหล่านี้เข้าไปเป็น สส.ในสภาฯ และเป็นรัฐบาล ไม่เคยไว้วางใจได้เลย ซึ่งในยุคนี้ไม่เพียงแต่ฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น แม้แต่ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน ก็ไม่อาจเชื่อถือและไว้วางใจได้ ว่าจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อบทบาทหน้าที่
วันนี้วันที่ 3 กรกฎาคม มีเรื่องให้ต้องพูดถึง เกี่ยวกับความเหมาะควร ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี จะนำรัฐมนตรีที่เพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน ก่อนปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มาตรา 161
มาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ก่อนเข้ารับหน้าที่ ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
ทั้งนี้ เจตนารมณ์ของมาตรา 161 ดังที่กล่าวนี้ โดยให้รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี ในฐานะผู้กล่าวปฏิญาณ ต้องกล่าวยืนยันต่อองค์ผู้ใช้อำนาจอธิปไตย คือ พระมหากษัตริย์ นั้น ก็เพื่อให้ทรงเกิดความไว้วางใจในการปฏิบัติหน้าที่ และต้องทำเบื้องหน้าพระพักตร์เท่านั้น ซึ่งองค์ประกอบจึงต้องมีทั้งผู้ถวาย และผู้รับถวาย
ดังนั้น การถวายสัตย์ปฏิญาณ จึงเป็นการยืนยันความสัมพันธ์ ระหว่าง“คณะรัฐมนตรี”กับ“พระมหากษัตริย์” ในฐานะองค์ประมุขของประเทศตามระบอบประชาธิปไตย ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 3 ว่า “อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ”
หากรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ นอกจากจะทำให้“ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท”แล้ว ก็ยังละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 164 และมาตรา 164 (1), (4) อีกด้วย
รัฐธรรมนูญมาตรา 164 บัญญติไว้ว่า “ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องดําเนินการตามบทบัญญัติ แห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา”, มาตรา 164 (1) บัญญัติไว้ว่า “ต้องปฏิบัติหน้าที่และใช้อํานาจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ เปิดเผย และมีความรอบคอบ” และมาตรา 164 (4) บัญญัติไว้ว่า “สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ผาสุก และสามัคคีปรองดองกัน”
ที่ยกรัฐธรรมนูญมาพูด ก็เพื่อเป็นการนำร่องให้เห็นว่า การที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นำรัฐมนตรีที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ในวันที่ 3 กรกฎาคมวันนี้นั้น นอกจากจะไม่เหมาะไม่ควรแล้ว ก็ยังอาจจะมีปัญหาตามมาในภายหลัง ฐานละเมิดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดของบ้านเมือง
ถามว่าทำไมถึงไม่เหมาะไม่ควร และยังอาจจะละเมิดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ คำตอบก็คือ เพราะนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นำนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ผู้ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา กรณีถูก 36 สว.ร้องศาลรัฐธรรมนูญให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ
เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ทั้งที่“แพทองธาร ชินวัตร” ถูก 36 สว.ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเข้าข่ายมีความผิดตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) คือไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ (5) มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณี“คลิปอัปยศ”จากการสนทนากับ“ฮุน เซน”ผู้ทรงอำนาจแห่งเขมร ที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ“ตระกูลชินวัตร”
ขณะเดียวกัน ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาว่าจะรับคำร้องหรือไม่รับคำร้องของ 36 สว. และจะสั่งหรือไม่สั่งให้“แพทองธาร ชินวัตร”หยุดปฏิบัติหน้าที่ ปรากฏว่า“แพทองธาร”โดยการ“ชักใย”ของ“ทักษิณ ชินวัตร” ก็ได้ชิงตัดหน้านำรายชื่อ 14 รัฐมนตรีที่แต่งตั้งใหม่ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมที่มีชื่อ“แพทองธาร”เป็นรัฐมนตรีอยู่ด้วย ขึ้นทูลเกล้าฯและโปรดเกล้าฯแต่งตั้งลงมา ก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ไปถามใครก็รู้ว่า ทำไมต้องตั้งรัฐมนตรีชุดใหม่“ชิงตัดหน้า” โดยมี“แพทองธาร ชินวัตร”รวมอยู่ด้วย นั้นก็เพราะเป็นการวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้า หาก“แพทองธาร”ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรองรับ สามารถเข้าไปประชุมในคณะรัฐมนตรีได้
แค่คิดก็ผิดแล้ว เพราะคนเราถ้าหากในกมลสันดานไร้ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริต เรื่องสำนึกรับผิดชอบใดๆ ก็อย่าได้ไปหวัง และในกรณีของ“แพทองธาร ชินวัตร”นี้ หากเทียบกับนักการเมืองประเทศเกาหลีใต้ เจอเรื่องแบบนี้ ก็คงไปกระโดดหน้าผาจบชีวิตตนเองไปเรียบร้อยแล้ว ขืนอยู่ไปก็อายสุนัข ไม่ใช่ดันทุรังกลับเข้าไปเป็นรัฐมนตรีใหม่อีกรอบ
และเรื่องนี้ก็ไม่ได้จบเพียงแค่นี้ เริ่มมีการเคลื่อนไหว ที่จะร้องให้มีการถอดถอน“แพทองธาร ชินวัตร” พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกันแล้ว ฐานละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) และรวมไปถึง“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ”ด้วย ในฐานะนำผู้ขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ
เวลานี้ที่เป็น“ไวรัล”ในโลกโซเชียล ก็คือ ทำไม“ทักษิณ ชินวัตร”ไม่สอนสั่งลูกสาว หรือเขกกะโหลกเตือนตัวเอง กับสิ่งที่เคยพูดไว้กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2565 ในรายการ “CARE Talk”ซึ่งเผยแพร่ทางคลับเฮาส์ ที่จั่วหัวเรื่องว่า “ประยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่แล้วไงต่อ” จากการเผยแพร่เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2565 เมื่อครั้งที่“ทักษิณ”ยังเป็น“สัมภเวสี”หนีโทษอยู่ที่ดูไบ และใช้ชื่อว่า “โทนี่ วูดซัม” (Tony Woodsome)-ว่า
“ผมเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่รอศาลตัดสิน ถอยแล้วหล่อกว่า เมื่อไรศาลตัดสินแล้วกลับมาทำงาน แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่มีความสุข พูดฐานะรุ่นพี่ โดนมาก่อนทุกอย่าง การไม่กลับมาหล่อกว่า เดินถนนมีแต่คนทักทาย”
แต่ก็อย่างว่า ลำพังเวลานี้“ทักษิณ ชินวัตร”เองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด คงไม่มีเวลาได้สอนสั่งลูกสาว แบบว่า“ตัวใครตัวมันนะอีหนู” หรือไม่ก็ “หนีดีกว่านะอิ๊งค์เอ้ย” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี