แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...■■ ผู้ที่เคร่งครัดตามแบบแผนที่อาศัยเหตุผลแท้และมั่นคง ย่อมสามารถติดตามกระบวนการของเหตุผล ซึ่งเชื่อมโยงกันตลอดทุกแง่มุมขั้นตอนได้อย่างสะดวกสบายมาก จึงปฏิบัติการทั้งปวงได้โดยกระจ่างใจ เบาใจ มั่นใจ และมีประสิทธิภาพ เปรียบเหมือนคนที่ยืนบนพื้นที่ราบเรียบและแน่นหนา ย่อมทรงตัวให้ตรงอยู่ หรือขยับเขยื้อนตัว
ไปทางไหนๆ ได้ตามความประสงค์ ไม่มีพลาดพลั้ง แต่ถ้าเหตุผลที่จะนำมาเป็นพื้นฐาน มิใช่เหตุผลที่ถูกที่แท้ หากเป็นแต่เหตุผลตามอารมณ์ ตามความลำเอียงและหลงผิดแล้ว ก็หาเป็นพื้นฐานที่หนักแน่นมั่นคงมิได้เลยผู้ที่ปฏิบัติการบนพื้นฐานอันคลอนแคลนเช่นนี้ ย่อมไม่มีความมั่นใจ สบายใจ เพราะไม่สามารถดำเนินตามกระบวนการของเหตุผล จำเป็นต้องตั้งเหตุ
ตั้งผลใหม่ด้วยการบิดเบือนความจริง ต่อสู้ขัดขวางความจริงอยู่ร่ำไป เพื่อให้คล้อยตามอคติและอารมณ์ชั่วแล่นของตน... (ความตอนหนึ่งจากพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย16 กรกฎาคม 2520)
...■■ การทูตของไทยในยุคนี้ตกเป็นรองฝ่ายกัมพูชาอย่างน่าสมเพช ยิ่งเห็นภาพ ภูมิธรรม เวชยชัย ผู้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีรักษาการ (บางคนวิพากษ์ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นกระบอกของทักษิณ ชินวัตร) ไปเจรจากับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี (หุ่นเชิด) ของฮุนเซน โดยใช้เมืองปูตราจายา มาเลเซีย แล้วถูกฮุน มาเนต เล่นบทข่ม ภูมิธรรรม จนไม่เหลือเค้าของความเป็นนักการเมืองเก่าของไทย และไม่เหลือมาดของทหารป่า ผู้อาจหาญประกาศจะเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยเมื่อครั้งที่ภูมิธรรมอยากจะเป็นคอมมิวนิสต์
...■■ ภาพของไทยที่เคยสง่าผ่าเผย กลับกลายเป็นเสมือนจำเลยที่ต้องเข้าไปนั่งด้วยอาการหงอยๆ ในศาล ที่มีอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทำหน้าที่ตัวกลางไกล่เกลี่ยให้หยุดยิงกับกัมพูชา ทั้งๆ ที่กัมพูชายิงใส่ไทยก่อน แล้วที่น่าทุเรศกว่าคือกัมพูชายิงใส่โรงพยาบาล บ้านเรือน ร้านค้า และตลาด รวมถึงปราสาทหินที่อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย แต่ ภูมิธรรม กลับไม่กล้าพูดว่ากัมพูชายิงถล่มไทยก่อน ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าทุเรศมากที่สุด
...■■ แต่ที่ทุเรศยิ่งกว่าคือไทยกลายเป็นผู้รอรับความช่วยเหลือจากมาเลเซียในฐานะผู้ไกล่เกลี่ย เพราะไทยกลายเป็นคู่กรณีกับกัมพูชา ทั้งๆ ที่เมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว ไทยรับบทผู้สร้างสันติภาพให้กัมพูชา ในยุคที่กัมพูชาตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด เกิดสงครามกลางเมืองเข่นฆ่าล้างผลาญเอาชีวิตคนกัมพูชาจนตกอยู่ในสภาพ killing field ทุ่งสังหาร แต่มาบัดนี้ ในยุครัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ไทยกลับตกอยู่สภาพผู้ถูกลากเข้าสู่เวทีการเจรจาหยุดยิงกับกัมพูชา ทั้งๆ ที่กัมพูชายิงถล่มไทยก่อน แต่เรื่องแบบนี้ รัฐบาลไทยไม่มีปัญญาทำให้ชาวโลกรู้ว่ากัมพูชารุกรานไทย
...■■ กองทัพบกยอมรับว่าไทยยังไม่สามารถครอบครองปราสาทตาควายได้เบ็ดเสร็จ แต่อ้างแบบฟังแล้วงุนงงว่า ไทยสามารถควบคุมพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาได้มากกว่าเดิม วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกบอกว่าปราสาทตาควายอยู่ในเขตพื้นที่ต่ำ จึงเสียเปรียบฝ่ายกัมพูชา ทั้งนี้กัมพูชาวางกำลังทหารไว้บนเนิน 350 แล้วใช้อาวุธสงครามยิงเข้าใส่ทหารไทยที่อยู่ในพื้นที่ปราสาทตาควาย ทหารไทยที่ปฏิบัติการอยู่ในเขตปราสาทตาควายจึงกลายเป็นเป้านิ่ง และยอมรับว่าทหารไทยได้รับบาดเจ็บจำนวนมากจากกับระเบิดของกัมพูชา ดังนั้นไทยจึงยังไม่สามารถเข้าไปยึดปราสาทตาควายได้
...■■ นักธุรกิจและบรรดาพ่อค้าแม่ค้าของไทยเกือบทุกคนที่ ธรรมกร ไปคุยด้วยบอกตรงกันว่าปี 2568 เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยตกอยู่ในสภาพถูกเผาจริง ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่เคยอาศัยตลาดนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก ต่างพากันแน่นิ่งจนบางรายตายสนิท ส่วนผู้ที่ส่งสินค้าออกไปขายในสหรัฐฯ ก็บอกว่าใกล้ตายแล้ว เพราะไม่รู้ว่าสหรัฐฯ จะเก็บ tariff สินค้าไทยเท่าไร หากเก็บเกิน 30 เปอร์เซ็นต์ก็ตายแล้ว พร้อมย้ำว่าสินค้าทั่วไปที่ต้องเสีย tariff ตั้งแต่ 30 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ก็คือการประกาศปิดการค้าขายระหว่างกันโดยปริยาย แหล่งข่าวของ ธรรมกร สองสามรายที่ส่งสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ บอกว่า ที่โรงงานไม่เดินเครื่องจักรมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2568 เพราะไม่รู้ว่าผลิตแล้วจะขายให้สหรัฐอเมริกาได้หรือไม่ เพราะสินค้าที่โรงงานผลิตก็สามารถผลิตได้ในประเทศเวียดนาม แล้วเวียดนามก็มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทย เพราะฉะนั้น จึงตัดสินใจหยุดการผลิต แม้จะรู้ว่าคนงานรายวันจะต้องขาดรายได้ เพราะไร้งานทำ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะเมื่อจ้างคนงานมาผลิตสินค้า แต่เราเองกลับขายไม่ได้ก็ต้องยอมปิดโรงงานไปก่อน แล้วจะกลับมาเปิดโรงงานอีกครั้งเมื่อมั่นใจว่าขายสินค้าให้สหรัฐฯ ได้ ธรรมกร ถามต่อไปว่าไม่มีตลาดอื่นทดแทนตลาดสหรัฐฯ หรือ คำตอบคือหายากมากยากจนต้องบอกว่าเกือบไม่มี เพราะออกไปหาตลาดใหม่ๆ มาหลายประเทศแล้ว ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะสินค้าบางอย่างก็ไม่เป็นที่ต้องการของประเทศในลาตินอเมริกา หรือในแอฟริกา แหล่งข่าวรายหนึ่งบอกว่าเคยส่งผลไม้บรรจุกระป๋องไปขายในแอฟริกาตะวันตก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้
...■■ เมื่อ ธรรมกร ไปคุยกับผู้ประกอบการการท่องเที่ยวที่เคยเฟื่องฟูมากเมื่อครั้งนักท่องเที่ยวจีนล้นประเทศไทย ก็ได้คำตอบว่าธุรกิจที่เขาทำอยู่นั้นแย่มาก แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่าการที่คนจีนไม่มาเที่ยวไทยนั้น ไม่ใช่ว่าเขาเศรษฐกิจไม่ดี เพราะความจริงที่ทราบมาคือคนจีนยังเดินทางออกไปเที่ยวต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ปีๆ หนึ่งประมาณ 350 ล้านคน แต่ปัญหาคือคนจีนส่วนใหญ่ไม่มาเที่ยวไทย แต่เขาไปญี่ปุ่น เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่บอกว่าจีนไม่เที่ยวต่างประเทศเพราะเศรษฐกิจไม่ดี จึงไม่ใช่เรื่องจริง แต่ที่จริงคือสังคมจีนมองว่าไทยไม่ปลอดภัย และกระจายข่าวว่ามีการหลอกลวงนักท่องเที่ยว ส่วนนักท่องเที่ยวจีนบางคนที่หลงไปเที่ยวเมืองรองบางเมืองตามคำโฆษณาของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็กลับไปบอกกันว่า เมืองรองบางเมืองยังไม่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวการเดินทางก็ยังไม่สะดวก ที่กินที่นอนก็ยังไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งผิดกับญี่ปุ่นอย่างมาก ดังนั้นคนจีนจึงแห่พากันไปเที่ยวญี่ปุ่นจนแทบจะล้นทะลัก แถมยิ่งมาเจอว่าเงินเยนอ่อนค่าด้วย ก็จึงทำให้คนจีนพากันยกโขยงไปเที่ยวญี่ปุ่นจนล้นเกาะ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าทางการจีนเองก็เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวในจีนมากขึ้น แล้วพยายามเชิญชวนให้คนจีนเที่ยวในประเทศจีนมากขึ้น โดยทำแหล่งท่องเที่ยวเลียนแบบแหล่งท่องเที่ยวดังๆ ทั่วโลก นี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนจีนไม่มาเที่ยวไทย...■■
ธรรมกร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี