3. ครูผู้ปลูกฝัง “สุ จิ ปุ ลิ”ให้ศิษย์
ครูในฐานะผู้ให้ความรู้ควรสร้างบรรยากาศในห้องเรียน
ที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
ครูควรเป็นแบบอย่างของการเป็นผู้ฟังที่ดี (สุ)
และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น
ครูควรออกแบบกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดการคิดวิเคราะห์ (จิ)
ไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำเนื้อหา และควรส่งเสริมให้นักเรียนกล้าที่จะตั้งคำถาม (ปุ)
โดยครูไม่ควรมองว่าการถามของนักเรียนคือการท้าทาย
แต่ควรมองว่าเป็นการแสดงออกถึงความสนใจในการเรียนรู้ และ
สุดท้าย ครูสามารถมอบหมายงานเขียน (ลิ)
เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการจัดระเบียบความคิดและการสื่อสาร
4. พระผู้ชี้ทาง “สุ จิ ปุ ลิ”ในวิถีแห่งธรรม
หลักธรรมคำสอนของพระสงฆ์เป็นแหล่งความรู้ที่ทรงคุณค่า
พระสงฆ์สามารถชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ “สุ” (การฟัง)
โดยการสอนให้เยาวชนรู้จักฟังคำสอนด้วยใจที่สงบและเปิดกว้าง
“จิ” (การคิด)
คือการสอนให้รู้จักคิดไตร่ตรองตามหลักธรรม
ไม่ใช่แค่การเชื่ออย่างงมงาย
“ปุ” (การถาม)
คือการส่งเสริมให้เยาวชนกล้าที่จะถามในสิ่งที่สงสัยเกี่ยวกับหลักธรรม
เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และ
“ลิ” (การเขียน) อาจเป็นการเขียนบันทึกความดี หรือการเขียนสรุปคำสอนที่ได้ฟังมา เพื่อให้เกิดการตกผลึกทางความคิดและนำไปสู่การปฏิบัติในที่สุด
สู่การเป็นเยาวชนผู้ก้าวไกล
เมื่อเยาวชนได้ใช้หลักการ “สุ จิ ปุ ลิ” อย่างสม่ำเสมอในทุกมิติของชีวิต
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการเติบโตอย่างรอบด้านในฐานะพลเมืองที่ดีของสังคม:
เป็นพลเมืองที่ดีงามของแผ่นดิน :
-การฟังอย่างมีวิจารณญาณ
-การคิดวิเคราะห์ถึงปัญหาของสังคม
-การกล้าตั้งคำถามในสิ่งที่ถูกต้อง และ
-การเขียนเพื่อแสดงออกซึ่งความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์
ล้วนเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของพลเมืองที่ดีที่พร้อมจะร่วมกันพัฒนาประเทศ
เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ :
-การฟังพ่อแม่ด้วยความเคารพ
-การคิดถึงความรู้สึกของท่าน
-การสื่อสารอย่างเปิดอกด้วยการถามในสิ่งที่สงสัย และ
-การเขียนเพื่อบอกความในใจ
ล้วนเป็นหนทางที่จะช่วยสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในครอบครัว
เป็นลูกศิษย์ที่ดีของครู :
-การฟังคำสอนอย่างตั้งใจ
-การคิดตามเนื้อหาที่ครูสอน
-การถามเพื่อเติมเต็มความรู้ และ
-การเขียนเพื่อสรุปบทเรียน
ล้วนเป็นคุณสมบัติของลูกศิษย์ที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน
เป็นคนมีธรรมของพระ :
-การฟังพระธรรมด้วยใจที่เป็นกุศล
-การคิดไตร่ตรองในคำสอน
-การถามเมื่อเกิดความสงสัยในหลักธรรม และ
-การบันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้จากธรรมะ
จะช่วยให้เยาวชนเติบโตขึ้นเป็นคนดีที่มีศีลธรรมประจำใจ
เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน :
-การฟังเพื่อนด้วยความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ
-การคิดอย่างมีเหตุผลเมื่อเพื่อนมีปัญหา
-การถามเพื่อช่วยให้เพื่อนได้ระบายความรู้สึก และการเขียนข้อความดีๆ ให้กำลังใจ
ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างมิตรภาพที่ยั่งยืน
l การประสานความร่วมมือที่เป็นระบบและเป็นกระบวนการ
การประสานงานอย่างเป็นระบบคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน
สร้างความเข้าใจร่วมกัน :
พ่อแม่ ครู และพระ ควรมีเวทีในการแลกเปลี่ยนความเห็นและสร้างความเข้าใจร่วมกัน
ถึงเป้าหมายในการพัฒนาเยาวชนด้วยหลัก “สุ จิ ปุ ลิ”
บูรณาการหลักการเข้ากับชีวิตประจำวัน :
ที่บ้าน :
พ่อแม่ใช้หลักการนี้ในการสื่อสารและทำกิจกรรมกับลูกในชีวิตประจำวัน
ที่โรงเรียน :
ครูใช้หลักการนี้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและสร้างบรรยากาศในห้องเรียน
ที่วัด :
พระใช้หลักการนี้ในการเผยแผ่ธรรมะและการจัดกิจกรรมทางศาสนา
การสื่อสารที่ต่อเนื่อง :
ควรมีการสื่อสารระหว่างทั้งสามฝ่ายอย่างสม่ำเสมอ เช่น
-การนัดประชุมผู้ปกครอง-ครู
-การจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่างโรงเรียนและวัด หรือ
-การให้พ่อแม่และครูได้ปรึกษาหารือกับพระสงฆ์ในเรื่องการอบรมสั่งสอนเยาวชน
หากทั้งสามฝ่ายสามารถประสานงานกันได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
เยาวชนจะได้รับการพัฒนาอย่างสมดุลทั้งในด้านสติปัญญาและคุณธรรมจริยธรรม
ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมต่อไปในอนาคต
“สุ จิ ปุ ลิ” ไม่ใช่เพียงแค่คำโบราณที่ต้องท่องจำ
แต่คือหัวใจของการพัฒนาตัวเองที่ไม่เคยล้าสมัย
หากเยาวชนคนหนุ่มสาวในวันนี้ได้นำหลักการนี้มาปรับใช้ในชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พวกเขาเติบโตขึ้นเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ
แต่ยังจะช่วยหล่อหลอมให้เป็นคนที่ดีที่พร้อมจะสร้างสรรค์สังคมและแผ่นดิน
ให้เจริญก้าวหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ชัยวัฒน์ สุรวิชัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี