โหมโรงศึกสายเลือด‘เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้’ ตอนที่ 3 เพื่อนบ้านตัวแสบ!!!!
มีหลายคนแซวกันว่า เอฟเวอร์ตันหนึ่งปีจะเล่นดีอยู่สองนัด นั่นคือ เจอกับลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ กับ เจอกับ ลิเวอร์พูล ที่กูดิสัน พาร์ค
ที่ผ่านมา ทั้งสองทีมบดบี้ในเกมสำคัญกันมากมาย โดยเฉพาะยุค 80 จนถึงต้นยุค 90 ที่ทั้งคู่มักจะอยู่ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของกันและกัน
ปี 1984 ลีก คัพ นัดชิงชนะเลิศหนแรกของทั้งสองทีมที่เจอกันในบอลถ้วย ต้องเล่นรีเพลย์กว่าจะรู้ผลว่า ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์
ปี 1986 เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศหนแรกของทั้งสองทีม “หงส์” ชนะ 3-1 ครองดับเบิ้ลแชมป์หนแรก
ปี 1988 ดิวิชั่น 1 ซึ่ง ลิเวอร์พูลขอแค่ไม่แพ้ก็จะเป็นสถิติใหม่ของอังกฤษ ที่จะออกสตาร์ทไร้พ่าย 30 นัด แต่ต้องหยุดไว้ที่เลข 29 ด้วยน้ำมือของ เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสัน พาร์ค 0-1
ปี 1989 เอฟเอ คัพ นัดชิงหลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโร่ ก็โคจรมาชิงกัน ลิเวอร์พูลต่อเวลาชนะ 3-2
ปี 1991 เอฟเอ คัพ ที่ต้องรีเพลย์กันยับถึง 3 แมทช์ ลิเวอร์พูล บุกนำ 4 หน แต่สุดท้าย เอฟเวอร์ตัน ตามตีเสมอได้ทั้ง 4 ครา ทำให้ เคนนี่ดัลกลิช ประกาศลาออกเพราะทนความกดดันไม่ไหว
นับจากวันนั้น ลิเวอร์พูล ไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดอีกเลย กระทั่งปฏิทินปีที่ 30 จึงได้ยุติเรื่องนี้ซะที
ทุกเรื่องของสองทีมนี้ค่อนข้างคลาสสิก แต่ เอฟเวอร์ตัน หรือ อีเวอร์ตัน ในยุค 90 ถือเป็นการต่อกรกับ ลิเวอร์พูล ได้สุดสวิงมาก ๆ ทำให้เมืองคึกคักด้วยสีสันจากฟุตบอล เพราะเมืองถูกเมินจากภาครัฐบาล
สองทีมนี้พอกัน เป็นจอมขัดลาภ จอมขัดขาซึ่งกันและกัน!!!!!
ที่มันคลาสสิกก็คิอ ปี 1985 กับ ปี 1988
เริ่มจาก เอฟเวอร์ตัน กันก่อน
ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ ผู้ทำให้ เอฟเวอร์ตัน ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ทีม เป็นมิดฟิลด์ของทีมชุดแชมป์ดิวิชั่น 1 ในปี 1969-70 อยู่กับทีมนานถึง 7 ปี ก่อนจะย้ายไปเป็นนักบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสโต๊ค ซิตี้ ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ถนนกุนซือ ด้วยการไปเป็น “ผู้เล่น-ผู้จัดการทีม” กับ แบล็คเบิร์น ด้วยวัยเพียงแค่ 33 ปี พิสูจน์ตัวเองด้วยการพาทีมได้รองแชมป์ดิวิชั่น 3 ก่อนจะมาปิดฉากแขวนสตั๊ดที่เอฟเวอร์ตัน
น่าสนใจก็คือ การกลับมาเล่นกับเอฟเวอร์ตันเป็นที่สุดท้าย เมื่อปี 1981 ด้วยการเข้ามารับตำแหน่ง “ผู้เล่น-ผู้จัดการทีม” ซึ่งเริ่มเป็นกระแสที่น่าสนใจในยุคนั้น แต่ เคนดัลล์ ลงเล่นอีกแค่ 4 นัด เพื่อโฟกัสการคุมทัพโดยเฉพาะ
ทีมของเคนดัลล์ น่าสนใจก็คือ มีพลังการเล่นที่ล้นเหลือ มีประสิทธิภาพ และมีความหลากหลาย เขาพาทีมประเดิมด้วยการเป็นแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 1984 และปีรุ่งขึ้นคือปีทองของเอฟเวอร์ตันโดยแท้ นั่นคือ ซีซั่น 1984-85
เคนดัลล์ พาทีมครองแชมป์ดิวิชั่น 1 อย่างหมดจด ได้ถึง 90 แต้ม จาก 42 นัด ทิ้งห่าง ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส ถึง 13 แต้ม แน่นอนที่สุดผลงานที่สะท้านทรงคือการเตะแบบ “ไร้พ่าย” ในลีก นับตั้งแต่ บ็อกซิ่งเดย์ 1984 ไปจนถึง 11 พฤษภาคม 1985 ชนะได้ถึง 16 และหลุดเสมอไปแค่ 2 เกม
ก่อนจะไปเป็นแชมป์ยูฟ่า คัพวินเนอร์ส คัพ หลังจากโค่น บาเยิร์น มิวนิค ในรอบตัดเชือก ก่อนจะทุบ ราปิด เวียนนา จากออสเตรีย เด็ดขาด 3-1 ในนัดชิง
พวกเขาเกือบจะได้ 3 แชมป์มาครองด้วยซ้ำ หากไม่พลาดท่าให้กับ แมนฯยูไนเต็ด ในนัดชิงเอฟเอ คัพ ในช่วงต่อเวลา 0-1 อาจเป็นเพราะว่าเพิ่งลงเล่นนัดชิงคัพวินเนอร์สฯ เพียงแค่ 3 วันเท่านั้น
ปีรุ่งขึ้น เคนดัลล์ ได้ปะทะกับ เคนนี่ ดัลกลิช ตำนานอีกฟากฝั่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ ที่รับงานผู้เล่น-ผู้จัดการทีมเหมือนกับปฐมบทของ เคนดัลล์ ในปี 1985 แต่บทสรุปปีนั้น เคนดัลล์ แพ้ให้กับ
ดัลกลิช ทั้งในดิวิชั่น 1 และเอฟเอ คัพ นัดชิง
อย่างไรก็ตาม ในซีซั่นต่อมา 1986-87 เคนดัลล์ พาทีมกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ดิวิชั่น 1 ได้อีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจวางมือไปหาความท้าทายใหม่ที่สเปน
ว่ากันตามเชิง หลังจากมีการปฏิวัติ “สีน้ำเงิน” ที่แอนฟิลด์ เมื่อ 15 มีนาคม 1892 จอร์จ มาห์น หนึ่งในบอร์ดบริหารของเอฟเวอร์ตัน ที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานของเอฟเวอร์ตันคนใหม่ เป็นผู้เสนอไปสร้างสนามใหม่คนละฟากฝั่งกับแอนฟิลด์
เรียกที่นั่นว่า “แมร์ กรีน” หญ้าสวย ๆ และสร้างสนามขึ้นมา นั่นคือ กูดิสัน พาร์ค ห่างจากถิ่นเดิมไปทางสวนสาธารณะสแตนลี่ย์ พาร์ค ระยะทางเพียง 0.99 กิโลเมตร
ยุคของ เคนดัลล์ ถือว่าได้รับการยกย่องเรื่องการเล่นฟุตบอลโดยแท้
นั่นเป็นเพราะสนามกูดิสัน พาร์ค มีห้อง “1985” เพื่อเป็นเกียรติให้กับทีมชุดนั้น โดยไม่มีห้อง 1984 หรือ 1986 แต่อย่างใด มีแค่ห้องเดียว
ด้วยการทำงานด้วยหัวใจที่เข้มข้น 7 ปีของ เคนดัลล์ ทำให้ทีมประสบความสำเร็จได้แชมป์ดิวิชั่น 1 ถึง 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย และคัพ วินเนอร์สคัพ 1 สมัย รวมถึงแชร์ริตี้ ชิลด์ อีก 3 สมัย ปลุกปั้นนักเตะดังทะลุขึ้นห้างมากมาย และเกิดมีความเข้าใจผิดอีกต่างหาก!
ย้ำกันอีกทีว่าชุดปี 1985 ที่สุดยอดกลายเป็น “ห้องแห่งตำนาน” มียอดนายประตูอย่าง เนวิลล์ เซาธ์ธอลล์
ขณะที่แนวรับมี แกรี่ สตีเวนส์ ที่เป็นคนละคนกับ แกรี่ สตีเวนส์ ของสเปอร์ส เป็นแบ๊กขวา, แพ็ท แวน เดน ฮาว เป็นแบ๊กซ้าย และคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟสุดหิน เควิน แรทคลิฟฟ์ กัปตันทีม ที่จับคู่กับ ดีเร็ค เมาท์ฟิลด์
ขณะที่แดนกลาง เทรเวอร์ สตีเว่น ไม่ได้เป็นอะไรกับ แกรี่ สตีเวนส์ ปักหลักเดินเกมทางขวา ใช้เทคนิคในการเล่นแบบ “ปีกยุคใหม่” ที่ดูเหมือนเป็นมิดฟิลด์ด้านขวา มากกว่าเป็นต้องไปกระชาก เพราะหน้าที่นี้ เควิน ชีดี้ ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบเป็นปีกยุคโบราณรุ่นสุดท้าย
ห้องเครื่องคือ ปีเตอร์ รีด ที่เคยมาคุมทัพไทยแล้วหนีกลับบ้าน ประสานงานกับ พอล เบรซเวลล์ สลับกับ เควิน ริชาร์ดสัน ส่วนกองหน้าคือ แอนดี้ เกรย์ เจ้าเวหาขาลุย กับ แกรม ชาร์ป โดยมี เอเดรียน ฮีธ เป็นกำลังเสริม
น่าเสียดายที่ เกิดเหตุแฟนบอลตีกันในนัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ ยูเวนตุส ในปีเดียวกัน
สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า สั่งห้ามทีมจากอังกฤษ ลงเล่นบอลยุโรป 5 ปี ส่วน ลิเวอร์พูล ต้นเรื่องเอาไป 6 ปี
เอาจริง ๆ ก็คือ ถ้าได้ไปเตะถ้วยบิ๊กเอียร์ในเวลานั้น เอฟเวอร์ตัน อาจจะได้แชมป์ เฉกเช่น แมนฯยู, ลิเวอร์พูล,ฟอเรสต์ และวิลล่า เคยทำก็เป็นได้!!!!!
ทีนี้มายัง ลิเวอร์พูล 1987-88 กันบ้าง..........
............เมื่อ เอียน รัช เซ็นสัญญาไปอยู่กับ ยูเวนตุส(หรือ จูเวนตัส ตอนนั้น) ในราคา 3.2 ล้านปอนด์ ทำให้ เคนนี่ ดัลกลิช ต้องคิดค้นวิธีในเกมรุกใหม่
ไม่ได้รอให้จบซีซั่น ทีมได้จัดการเซ็น จอห์น อัลดริดจ์ กองหน้าที่เกิดที่การ์สตัน ในเมืองลิเวอร์พูล แต่เป็นชาวสาธารรัฐไอร์แลนด์ จาก อ็อกซ์ฟอร์ด ในสนนราคา 750,000 ปอนด์ ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 1987 หรือช่วงกลางซีซั่น
หลายคนเรียก “เอียน รัช 2” เพราะยังจำชื่อแกไม่ได้!!!
ด้วยความเกรงว่า “จะเหมือนกว่าของแท้” หรือไม่อย่างไร ทำให้ จอห์น อัลดริดจ์ ไม่ใส่ “หมายเลข 9” เบอร์เดิมของ เอียน รัช แต่ใส่”หมายเลข 8” เป็นเบอร์ประจำ
มีบันทึกเอาไว้ว่า แท้ที่จริงแล้ว จอห์น อัลดริดจ์ คือตัวเลือกตัวที่ 3 ของ เคนนี่ ดัลกลิข ในการซื้อมาแทน เอียน รัช
ตัวเลือกแรกก็คือ เดวิด สปีดี้ ดาวยิงชาวสก็อตแลนด์ของเชลซี
ตัวเลือกที่สองก็คือ ชาร์ลี นิโคลัส ของอาร์เซนอล ที่เป็นชาวสก็อตแลนด์เช่นกัน
ลงท้ายคือ อัลโด้
จากนั้นเช็คราคา 900,000 ปอนด์ ส่งไปยัง วัตฟอร์ด เพื่อซื้อ จอห์น บาร์นส์ ทำให้ทีมกลับไปเล่นระบบ”มีปีกซ้าย”อย่างเต็มตัวอีกครั้งเหมือนกับยุค 70 สมัยของ สตีฟ ไฮจ์เวย์
ที่มีการเขียนข่าวกันว่าในโลกออนไลน์ว่า จอห์น บาร์นส์ ก่อนมายัง ลิเวอร์พูล ก็มี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้ความสนใจ แต่เขาเลือกลิเวอร์พูล นั้น
ตัวผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์ จอห์น บาร์นส์ เกี่ยวกับประเด็นนี้ ก่อนจะได้รับคำตอบมาแบบชัดทุกบาร์ (ชมคลิปได้ตามลิงค์นี้ สัมภาษณ์ จอห์น บาร์นส์ กับ เอียน รัช )
จอห์น บาร์นส์ บอกว่า ไม่เคยมีใครติดต่อมาหาผม มีทีมเดียวที่ติดต่อมาคือ ลิเวอร์พูล และผมไม่ลังเลที่จะเซ็นสัญญากับยอดทีมทีมนี้.......................
เรย์ เฮาจ์ตัน จาก “ไอ้หัวกระทิง” อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด ในราคา 825,000 ปอนด์ เพื่อมายึดพื้นที่ด้านขวา
ส่วน “หมายเลข 7 คนใหม่ “คิง เคนนี่” ต้องตัดสินใจไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเช็คสั่งจ่ายจำนวน 1,900,000 ปอนด์ เป็นสถิติสโมสร เพื่อเป็นค่าตัวของ ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์
การเตรียมพร้อม และการลงทุนครั้งสำคัญ ออกดอกผลรวดเร็ว เมื่อออกสตาร์ทด้วยสถิติที่ไม่เคยทำได้ขนาดนี้มาก่อน นั่นคือ ไม่แพ้ใครยาวนานถึง 29 นัด เท่ากับสถิติเดิมที่ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด ได้สร้างเอาไว้ในยุค 70
ทีมขึ้นนำจ่าฝูง และนำแบบม้วนเดียวลิเกลาโรง ตั้งแต่การถล่ม วัตฟอร์ด 4-0 ที่แอนฟิลด์ เมื่อ 24 พฤศจิกายน 1987 จากนั้นก็นำยาวไปจนจบฤดูกาลได้แชมป์กันไปเลย!!!!
มีสถิติต่าง ๆ มากมายที่ทีมทำได้
“อัลโด้” จอห์น อัลดริดจ์ เข้าไปอยู่ในหัวใจของเดอะ ค็อป อย่างรวดเร็วเมื่อสตาร์ทยิงในลีก 9 นัดรวด
ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์ พังประตูแรกของเขาตั้งแต่นัดที่ 2 ที่ลงสนาม
สตีฟ นิโคล ทำแฮททริคในเกมถ่ายทอดสดหนแรกของทีมในฤดูกาลนั้น ด้วยการบุกไปต้อน นิวคาสเซิ่ล 4-1
อลัน แฮนเซ่น โหม่งพังประตูแรกได้ในรอบ 3 ปี
ทีมทุบสถิติออกสตาร์ทดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1961 กับ 1978 ต่อด้วยทุบสถิติไร้พ่ายของทีมปี 1949
ยอดผู้ชมผ่านทางการถ่ายทอดสด เกมที่ ลิเวอร์พูล ชนะ อาร์เซนอล 2-0 ที่แอนฟิลด์ มีผู้ชมทั่วโลกกว่า 250 ล้านวิว
ทีมไม่เสียประตูติดต่อกัน 10 นัด โดย 4 เกมในนั้น ไมค์ ฮูเปอร์ นายประตูสำรองต้องลงเล่น เนื่องจาก บรู๊ซ กร็อบเบลลาร์ ได้รับบาดเจ็บ
ทั้งหมดนี้คือ อาทิ.................................
รอนนี่ วีแลน ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนตำแหน่ง จากมิดฟิลด์ด้านซ้าย ถูกจับขยับเข้ามาเล่นตรงกลาง จับคู่กับ สตีฟ แม็คมาน ได้อย่างลงตัวสุด ๆ เพราะทั้งสองคนมีทั้งบู๊มีทั้งบุ๋น กัดไม่ปล่อย กลายเป็นตัวเลือกอัตโนมัติไปในทันที
แนวรับ อลัน แฮนเซ่น กัปตันทีม เจ้าของฉายา “จ๊อกกี้” ไม่รู้ไปกินเหล็กกินหินที่ไหนมา การลงเตะในฟุตบอลลีกเขาลงสนามถึง 39 จาก 40 นัด เป็นหัวใจสำคัญในแนวรับ ยามที่ มาร์ค ลอว์เรนสัน โรยรา โดย แฮนเซ่น จับคู่กับ แกรี่ จิลเลสพี สลับกับ แกรี่ แอ๊บเล็ตต์ ทำให้ทีมเสียแค่ 24 ประตูเท่านั้น
“หงส์แดง” สยายปีกจนน่าเกรงขาม ทำให้ผู้สันทัดกรณีเชื่อมั่นเหมือนกันว่า สถิติออกสตาร์ทไร้พ่ายที่ถูกสร้างเอาไว้ โดย “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด 29 นัด เมื่อปี 1973-74 กำลังจะกลายเป็นผุยผง รวมไปถึงการไร้พ่ายของ เบิร์นลี่ย์ ที่ทำไว้ 30 นัดแรก ซีซั่น 1920-21 น่าจะโดนทำลายด้วยน้ำมือของ ลิเวอร์พูล
นัดที่ 28 ของฤดูกาล เคนนี่ ดัลกลิช ที่เพิ่งฉลองวันเกิดครบรอบ 37 ปีแค่วันเดียว ใส่ชื่อตัวเองเป็นสำรองครั้งแรกของฤดูกาล แม้จะไม่ได้ลงเล่น แต่ทีมก็บุกไปชนะ ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส ที่กรุงลอนดอน 1-0
มาถึงวันที่ 16 มีนาคม 1988 ทาบสถิติไร้พ่าย 29 นัด เท่ากับ ลีดส์ ด้วยการบุกไปเสมอ “ไอ้หัวแกะ” ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ที่เบสบอล กราวน์ 1-1
อีกเพียงนัดเดียวจะผ่านสถิติของ ลีดส์ ทันที
แต่แล้วก็ต้องหยุดสถิติเอาไว้กับ “พี่ชายที่แสนดี” หรือว่า “เพื่อนบ้านตัวแสบ” อย่าง เอฟเวอร์ตัน ที่เด็ดปีกพญาหงส์ลงได้ในวันที่ 20 มีนาคม 1988 จากประตูชัยประตูโทนของ เวย์น คลาร์ก
คลาร์ก มาจากตระกูลนักฟุตบอล พี่น้องทั้ง 5 คนเล่นบอลอาชีพทั้งหมด ประกอบด้วย แฟรงค์ คลาร์ก, ดีเร็ค คลาร์ก อัลลัน คลาร์ก และ เคลวิน คลาร์ก
หมายเหตุก็คือ แฟรงค์ คลาร์ก คนละคนกับ แฟรงค์ คลาร์ก ฟูลแบ๊คที่ได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เพราะตระกูลนี้คือ Clarke ส่วนนักเตะสิงห์สั่งป่าสะกดสกุลว่า Clark
แต่พี่ชายอีกคนของ เวย์น คลาร์ก อย่าง อัลลัน คลาร์ก ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือแกนรุกสุดคลาสสิคของ ลีดส์ ยุคไร้พ่าย 29 นัดรวดนั่นเอง!!!!!
โลกมันกลมดีจริง ๆ
ขนาดปีนั้นถือเป็น “ลิเวอร์พูล ที่ดีที่สุด” ทีมหนึ่งตลอดกาล ได้รับสมญานามการเล่นว่าเป็น “แซมบ้า ซีซั่น” แต่ก็โดน เอฟเวอร์ตัน ทำแสบจนได้
โทษใครไม่ได้.....พอกันจริงๆทั้งสีน้ำเงินและสีแดง!!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี