“เกมที่ยากที่สุดในโลกสำหรับผมคือ การพบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้”
เป็นคำกล่าวของ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือต่อต้านเด็กบูฟื้นฟูเฮฟวี่ ของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี แชมป์เก่าพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ก่อนจะยกพลไปเยือนถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม ของ “เรือใบสีฟ้า”แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คืนวันอาทิตย์นี้ 5 ทุ่มครึ่ง
“การต่อกรกับ ลิเวอร์พูล คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผมในปีนี้”
เป็นคำกล่าวของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือสมองใสของ แมนฯซิตี้ ที่จะต้องดวลกับทีมที่เตะพวกเขาหล่นจากบัลลังก์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
เมื่อทั้งสองทีมมาปะทะกันในยุคสมัยนี้ กลายเป็นที่จับตามอง เพราะนี่คือสองทีมที่บี้แชมป์กันมาแบบไหล่ชนไหล่ใน 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้แชมป์ประเทศในปี 2018 แบบไม่มีคู่แข่ง และปีต่อมาก็กวาดทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และลีกคัพ แต่.........
แต่เป็นใครก็น้อยใจ......อุตส่าห์ผงาด 3 แชมป์ในประเทศเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อซีซั่น 2018-19 แต่แทบจะไม่มีใครจดจำหรือสนใจ ใส่ใจในความสำเร็จพวกเขา
เมื่อการเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 6, เป็นแชมป์รายการแรกในรอบ 7 ปี และเป็นแชมป์แรกของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในการคุม ลิเวอร์พูล ได้กลบ 3 ถ้วยของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้จนละม้ายว่า แทบไม่มีใครเห็น
ยิ่งไปกว่านั้น ลิเวอร์พูล เอาคืนด้วยการกระชากแชมป์พรีเมียร์ลีก จากอกของ แมนฯซิตี้ อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ด้วยการได้แชมป์เร็วที่สุดเมื่อผ่านไปแค่ 31 นัดของฤดูกาล แม้มันจะยาวนานที่สุดก็ตาม
แต่นั่นเพราะฝีมือของไวรัสโควิด-19 ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์
การเสียแชมป์ทำให้เกิดคำถามมากมายกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่าว่า เขาจะ “ถอดใจ” และ “ไปจาก” เลยหรือเปล่า
แต่อีกนั่นแหละ ไวรัสโควิด-19 หยุดทุกสิ่ง และทำให้ เป๊ป อาจจะได้หยุดคิด และหาวิธีในการสู้กับ คล็อปป์ ที่อาจเป็นไปได้ว่า สงครามระหว่างสองคนนี้จะจบสิ้นในอังกฤษ
เมื่อฤดูกาลนี้จบลง
โลกนี้ก็แปลก ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ปีก่อน ก็ต้องเป็น แมนฯซิตี้ที่มายืนแถวต้อนรับปรบมือให้กับแชมป์เป็นทีมแรก แต่ก็ใช้เวลาไม่นานในการทุบแชมป์ใหม่ให้เสียรังวัดคามือ......
.....เป๊ป กำลังถูกมองว่า หมดมุขหรือเปล่ากับการทำทีม และใช้เงินแก้ปัญหามากเกินไป อาจจะไม่ได้มีฝีมือที่ดีจริงจังเหมือนกับความสำเร็จ เพราะอยู่กับแต่ละทีมนั้นเพอร์เฟกต์ไปซะทุกอย่าง
ว่ากันตามเชิง การเบ่งบวมบารมีในวงการฟุตบอล ทีมที่เป๊ปคุมแล้ว ชื่อเสียงเบาบางที่สุด ก็คือ แมนฯซิตี้ ที่เทียบไม่ได้หรอกกับ บาร์เซโลน่า และบาเยิร์น มิวนิค
แต่ที่นี่มีเงิน และเมื่อใช้เงินไปแล้ว “ไม่ผิด” มันอาจจะไม่สง่างามนัก แต่ทำให้พวกเขายังเดินต่อไปได้
ทีนี้ปัญหาในแนวรับที่ เป๊ป พบเจอเมื่อฤดูกาลก่อน การขาดหายไปของ อายเมอริค ลาปอร์กต์ ทำให้พวกเขาบอดสนิทในแนวรับ และทุกคนมองว่า เซ็นเตอร์ฮาล์ฟนี่แหละทำให้พวกเขาไม่เสถียร และเสียแชมป์
นั่นคือปัญหาข้อแรก
เช่นเดียวกันกับ ปีสุดท้ายของ ดาบิด ซิลบา คนที่มีส่วนสำคัญในการเล่น นั่นคือการพาบอลจากกลางไปหน้าอย่างมั่นคง และเล่นได้แน่นอน มีลูกจ่ายที่เหลือเชื่อ ทำให้เกิดสมดุลในเกม แต่ซิลบา เจ็บบ่อยหายไปถึง 11 เกม
ทำให้เกิดปัญหาเป็นข้อที่ 2
มันส่งผลทำให้ เควิน เดอ บรอยน์ ทำงานหนักขึ้น และถูกปรับขยับให้มายืนเหมือนหลังกองหน้า ตามแท็กติกในเกมรุกของเป๊ป ที่จะเหลือหลัง 3 คน แล้วให้แบ๊กซ้ายมายืนเคียงกับ โรดรี้ ยังผลต่อประสิทธิภาพของ เดอ บรอยน์ ในทันที
เดอ บรอยน์ เล่นไป 35 เกม ไม่ได้น้อยเลย แต่ฟอร์มโดยรวมของเขาต่างหาก ที่เป็นปัญหาข้อที่ 3
อีกเรื่องก็คือ แบร์นาโด้ ซิลวา ที่ฟอร์มหลุดหายไปอย่างเหลือเชื่อ ทั้งที่ซีซั่น 2018-19 ไม่ว่า เป๊ป จะให้เล่นตรงไหน ก็สามารถเริงระบำบนฟลอร์หญ้าด้วยซ้ายธรรมชาติได้เนียนตา แต่ปีก่อนได้เล่นเยอะจริง เท่ากับ เดอ บรอยน์ ในลีก คือ 35 เกม แต่บอดสนิท
4 ข้อปัญหานี้ เป๊ป ได้แก้ไขแล้วหรือยัง!?!?!?
ข้อแรก เป๊ป ใช้เงินแก้ปัญหาไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ รูเบน ดิอาซ มาจากโปรตุเกส เมื่อมาจับคู่กับ อายเมอริก ลาปอร์กต์ ที่หายเจ็บ เท่ากับคู่หูคู่นี้ราคาโหดทะลุนรก 118 ล้านปอนด์
ข้อ 2 ยังหาคนมาลงตรงนี้ยาก ก็เลยลองคนที่มีปัญหาจากข้อ 4 มาลงเล่น ถนัดซ้ายเหมือนกัน และชื่อคล้ายกันแน่ๆ คือ ซิลบากับ ซิลวา แต่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว เพราะจุดนี้ อิลคาย เล่นไม่ได้เนื่องจากเจ้าตัวจะถนัดยืนต่ำกว่านี้
ทีนี้ข้อ 3 น่าสนใจ เพราะ เดอ บรอยน์ ยังไงก็พิษสงน่ากลัวสุดๆ เรื่องสัญญาสบายใจถึงปี 2023 ทีนี้ต้องมาลุ้นว่า ร่างกายของเขาจะทนทานนานไปสักกี่น้ำ
ปัญหาของ แมนฯซิตี้ ก็ยังไม่จบง่ายๆ เมื่อตอนนี้ เซร์คิโอ “กุน” อเกวโร่ ใช้โควตาที่จะต้องเจ็บทุกปี รีบเจ็บตั้งแต่ต้นซีซั่น และพลาดเกมนี้แน่นอนแล้ว ยังดีที่ กาเบรียล เฮซุส กลับมาพอดี แต่ถามว่า เขาดีพอที่จะฝากผีไข้เหมือน กุน หรือยัง
กาเบรียล เหมือนยังไม่พ้นเงาของ กุน ที่ทำมาตรฐานไว้ดีมาก และกาเบรียล จะต้องดีกว่านี้ หลังจากเขาดูมีปัญหาในการเล่นแบบต่อเนื่อง หมายว่า ยืนระยะไม่ค่อยจะได้
ไม่น่าเชื่อว่า ปีนี้ ลิเวอร์พูล กำลังเผชิญปัญหาเดียวกับที่ แมนฯซิตี้ เจอเมื่อปีก่อน
ก็คือ หัวใจในแนวรับขาดหายไปทั้งฤดูกาล
เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค บาดเจ็บจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมทช์ ต้องผ่าตัดเข่าพร้อมกับพักยาว
ทำให้ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล มีปัญหาให้ คล็อปป์ แอนด์ โค ต้องแก้ไขกันอย่างต่อเนื่อง
เป็นปีที่ยากลำบาก ทั้งติดเชื้อโรค และโลกฟุตบอล
บัญชีนักเตะไม่ได้ยาวเป็นหางว่าว แต่ คล็อปป์ ต้องเจอมาตลอดนับตั้งแต่การเก็บตัวที่ออสเตรีย ช่วงปรีซีซั่น ที่ไม่มี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และดิว็อก โอริกี้
ความวุ่นวายเกิดขึ้นเรื่อยๆ จากการติดเชื้อ และเจ็บซ้ำของ คอนสแตนตินอส ซิมิกาส แบ๊กซ้ายตัวใหม่
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เจ็บตอนพักครึ่งในเกมกับเชลซีพักไปหลายนัด
อลิสซอน เบ๊คเกอร์ ไหล่เดี้ยงระหว่างซ้อมพักไปหลายวีค
ธิอาโก้ อัลคันตาร่า ลงเล่นครึ่งหลังเกมเชลซี ก่อนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และกลับมาลงเล่นกับ เอฟเวอร์ตัน ก่อนจะโดนเสียบแบบทำร้ายเพื่อนร่วมอาชีพ ทำให้เขายังเจ็บอยู่
ซาดิโอ มาเน่ ติดเชื้อไวรัสโควิด-19
โฌแอล มาติ๊ป กลับมาเล่นนัดแรกในรอบหลายเดือน แต่ก็ต้องพักไปอีกหลายสัปดาห์ ลุ้นกันแบบวันต่อวันว่าจะฟิตเมื่อไหร่
ฟาบินโญ่ ก็เจ็บต้องพักต่อไปอีกอย่างน้อยสองสัปดาห์
นาบี เกอิต้า กำลังมาดีๆ ก็ตรวจเจอเชื้อไวรัสโควิด-19
ปัญหากองพะเนิน แต่ยังถือว่าโชคยังดี หลังจากการได้แชมป์ยุโรป ต่อเนื่องมาทั้งซูเปอร์คัพ, แชมป์สโมสรโลก กระทั่งแชมป์พรีเมียร์ลีก ยังผลให้ทีมมีเงินและขนาดทีมใหญ่ขึ้น
ขุมกำลังจึงมากขึ้น ให้ได้มีทางเลือกมากขึ้น และการทำทีมในปีนี้ของ คล็อปป์ น่าสนใจในช่วงเริ่มต้น
แผนปีนี้แอบมีการสวิตช์ตำแหน่งกันเองอยู่หลายจุด นักบอลสามารถ “ขึ้นไปทด” แต่ละจุดได้อย่างน่าสนใจ เหมือนกับว่าหนึ่งคนสามารถไปแทนอีกคนได้
มันไม่ได้มาจาก “แผนการเล่น” เพียงอย่างเดียว แต่เป็น “แผนการซื้อ” ที่เป็นจุดเริ่มต้น
การเฟ้นหานักบอลเพื่อให้เข้าสู่ระบบ ให้เข้าสู่แผน ทำได้ค่อนข้างยาก แน่นอนที่สุด ทีมหลังบ้านสำคัญยิ่งในการเดินหมากในลักษณะแบบนี้
แต่เมื่อ “แผลใหญ่” มันเกิดขึ้น การแก้ปัญหาหนักหน่วงขึ้นมีคำถามเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลากับตำแหน่งของ ฟาน ไดจ์ค สุดท้ายไม่ได้มีใครมาแทนได้หรอก ก็ต้องใช้ โจ โกเมซ เป็นคนที่ไปยืนด้านซ้าย
เป็นแผนเหมือนใช้พลังงานทดแทน เพราะไม่มีใครเล่นฝั่งนี้ได้เลย
แท้ที่จริง ฟาน ไดจ์ค เองก็คือเซ็นเตอร์ที่ถนัดการยืนฝั่งขวา แต่ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ เขาก้าวผ่านขึ้นไปยืนระดับโลกนานแล้ว
ที่สำคัญก็คือ สามารถยืนฝั่งไหนก็ได้ สุดท้ายก็เป็น “เดอะ แบก” พร้อมกับถูกปรับจูนให้ฟุตบอลที่ไปยืนอีกฝั่ง เข้ากับฟุตบอลในยุคปัจจุบันลงตัว
คนอื่นที่มาก็คือ ต้องมายืนด้านขวา ตอนนี้ โกเมซ ที่ยืนขวามาตลอด ต้อง “ดัดตน” ไปอยู่ด้านซ้าย แล้วที่เหลือก็คอยลุ้นกันว่า จะเป็นใครระหว่าง โฌแอล มาติ๊ป, รีส วิลเลี่ยมส์ หรือว่า แนต ฟิลลิปส์
ส่วนตำแหน่งอื่นๆ โดยเฉพาะมิดฟิลด์ที่เหมือนจะขี่คอกันอยู่ 8-9 คน คอยสลับกัน เป็นปัญหาที่ดี เช่นเดียวกับแผงหน้า การมาของ ดีโอโก้ โชต้า คือปัญหาที่กุนซือทุกคนต้องการ
จากที่ไม่มีตัวเลือกตอนนี้มีมาเพิ่มชีวิตชีวา และจะเล่นฟุตบอลได้อีกมิติ หลังจากเราคุ้นชินกับ “หิน เหล็ก ไฟ” ซาดิโอมาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ มาพักใหญ่ๆ
ทีนี้ขึ้นอยู่กับว่า คู่แข่งเป็นแบบไหน ใครอยู่ในฟอร์มแบบไหน ไม่จำเป็นต้อง “เข็นลง” กันแทบจะทุกเกม
นี่คือจุดแข็งของ ลิเวอร์พูล ในปีนี้ แม้ว่า “สไตล์ใหม่” ไม่สามารถเล่นได้แล้ว ทั้งการเล่นแบบ ไฮจ์ไลน์ หรือการสวิตช์บอลไปมาจากแนวลึก ต้องหยุดไปพร้อมกับ ฟาน ไดจ์ค
แต่สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือ สมาธิ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันมีมากขึ้นกว่าเดิม
ทุกคนจะทำได้หรือไม่ และไปตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า ก็น่าสนใจ
เคสในลักษณะใกล้เคียงกันเคยเกิดขึ้นในปีก่อน อย่างกรณี ลาปอร์กต์ เอง แมนฯซิตี้ ยวบยาบแค่ไหน ก็ยังได้แชมป์ลีกคัพ และรองแชมป์พรีเมียร์ลีก มองภาพกลับหาก ลิเวอร์พูล ไม่เล่นได้ท็อประดับเบอร์นั้น ถ้วยพรีเมียร์ลีกก็ไม่แน่เช่นกัน
หรือจะข้ามฟากไปที่ เยอรมนี ที่ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ต้องเสีย นิคลาส ซือเล่ ที่เจ็บแบบเดียวกับ ลาปอร์กต์ กับ ฟาน ไดจ์คแต่ทีมก็ปรับจูนโปะโน่นนั่นนี่ จนเป็น 3 แชมป์
หลายคนที่ไม่ค่อยได้ดูบอล อาจจะพร่ำบ่นแบบดูแค่หน้ากระดาษ หรือหน้าจอว่า บุนเดสลีกา ได้แชมป์ง่าย หรือ เดเอฟเบ โพคาลก็ไม่เห็นยาก
แต่อย่าลืมว่า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คือบทพิสูจน์ความยอดเยี่ยม
นี่คือสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ต้องทำให้เหมือนกับคู่ปรับสำคัญแห่งยุคอย่าง แมนฯซิตี้ หรือทีมที่มาครองความสำเร็จต่อจากพวกเขาในบอลยุโรป อย่าง บาเยิร์นฯ
สำหรับเกมนี้ที่เอติฮัด เป็นหนึ่งในเกมที่น่าดูที่สุดของฤดูกาล
เป็นเกมที่จะบอกทิศทางบางอย่างในซีซั่นนี้
แม้จะไม่ใช่เกมตัดสินแชมป์แต่อย่างใด สำคัญก็คือไม่ได้นำอันดับของทั้งสองทีมมาเกี่ยวข้อง
เพราะขนาดอยู่กลางตาราง เป๊ป แอนด์ เดอะ ซิตี้ ยังเป็นเต็ง 1 ส่วน ลิเวอร์พูล หัวตารางยังเป็นเต็ง 2
ฟุตบอลดูกันยาวๆ และมีอะไรให้ได้จดจำอยู่เสมอ.......
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี