เกมใหญ่ที่สุดแห่งยุคของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จบลงด้วยการแบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน ส่งท้ายก่อน “ฟีฟ่าเดย์”
“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสมอกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี 1-1
นับเป็นการบุกเก็บคะแนนที่ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์หรือ เอติฮัด สเตเดี้ยม ได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ ลิเวอร์พูลได้สถาปนาเป็นผู้ท้าชิงบัลลังก์พรีเมียร์ลีก
หลายคนกล่าวขวัญถึงการจัดตัวของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เลือกแนวรุกลงสนามถึง 4 คน นี่คือคำจำกัดความของฟุตบอลที่เรียกว่า “เกมรุกคือเกมรับที่ดีที่สุด”
แต่ที่สุดแล้ว วิธีคิดของ คล็อปป์ ต้องค่อยๆ เปลี่ยนแนวไปหลังจากยิ่งเล่นยิ่งเป็นรอง สุดท้ายทนไม่ได้ต้องเปลี่ยนมาเล่น 4-3-3 อีกครั้ง เพื่อให้เกิดความสมดุลในเกมตรงกลาง เพราะจัดหนักแบบนี้ เจอกับทีมคุณภาพสูงๆ ด้วยกันไม่ค่อยไหว
ว่ากันถึง “FAB FOUR” ของ ลิเวอร์พูล ถือเป็นการปรุงสูตรครั้งที่ 2 โดยแกนเดิม 3 คนแรกยังอยู่นั่นคือ โมฮาเหม็ดซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่
“ตัวที่ 4” ที่เปลี่ยนมาเป็น ดีโอโก้ โชต้า จากเดิมคือ เฟลิปเป้คูตินโญ่ แต่ลักษณะของการยืนตำแหน่งต่างๆ ปรับสูตรไปแบบสิ้นเชิงทั้งที่เพิ่งผ่านไปแค่ 3 ปี
“ผมต้องการความกล้าหาญในเกมนี้ หากคุณต้องการบางสิ่งที่บ้านแมนฯซิตี้ สิ่งที่ี่คุณต้องกล้าจริงๆ นั่นคือเล่นเกมรุกถ้าหากรุกดี จะช่วยให้เกมรับแข็งแกร่งตามไปด้วย” คล็อปป์ กล่าวเอาไว้ก่อนเกมจะเริ่ม
อย่างไรก็ตาม การจัดทัพแบบ “พลิกโผ” มันเป็นเรื่องที่ “โผไม่พลิก” ก็เพราะหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แผนการเล่นของ ลิเวอร์พูล หลุดออกมาทางโลกออนไลน์ก่อนเกมหลายชั่วโมง ทั้งนี้ปกติแล้ว รายชื่อ 11 ตัวจริงและสำรอง จะเปิดตัวก่อนเกม 1 ชั่วโมงเท่านั้น
ว่ากันว่า สิ่งนี้ที่เป็นเพราะ “คนบางคน” อยากมีและแข่งกันมี “ตัวตน” ในโลก ทำให้เกิดผลเสียต่อทีม
เมื่อมองมาที่ แมนฯซิตี้ จัดทัพมาเหมือนเห็นแผนหงส์ ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลือก อิลคาย กุนโดกัน ที่เก่งเกมรับ มาช่วยงานของ โรดี้
ใช้ปีกแท้ๆ คนเดียว คือ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง แล้วให้ เฟร์ราน ที่สารพัดประโยชน์ในเกมรุกมาอยู่ทางขวา และ เควินเดอ บรอยน์ จอมทัพ โดยมี กาเบรียล เฮซุส เป็นหน้าเป้า
ภาพรวมละม้ายว่า หงส์จัดทัพกะบุกค้ำเกมรับซิตี้ ส่วน ซิตี้จัดทัพมาเหมือนรู้ว่า ลิเวอร์พูล จะทำอะไร
แต่ที่สุดแล้ว ด้วย “แผนของเป๊ป” หรือเปล่า ที่ต้องการออกมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก เพราะ แมนฯซิตี้ เล่นแบบไม่ได้ดุดันอะไรนัก
บอลเท้าสู่เท้าจากซ้ายไปขวา หรือ ขวามาซ้ายอาจจะรวดเร็ว แต่การออกบอลช้ากว่าเดิมด้วยซ้ำไป
เกม 25 นาทีแรกเป็นของลิเวอร์พูล แทบจะทั้งหมด ตั้งแต่เกือบได้ประตูถึง 2 ครั้ง ตั้งแต่ 2 นาทีแรก จนมาได้จุดโทษเมื่อเข็มนาฬิกากระดิกไปที่ 10.58 วินาที
ไคล์ วอล์คเกอร์ จะเสียเหลี่ยม ซาดิโอ มาเน่ จนทำเสียจุดโทษ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซัดเข้าไปอย่างเด็ดขาด ทำให้ออกสตาร์ทซีซั่นนี้ร้อนฉ่า เมื่อยิง 8 ประตูได้เร็วสุดเหมือนกับที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เคยทำไว้ปี 1995 และ เฟร์นานโด ตอร์เรส ปี 2009
จุดโทษขึ้นนำ คล้ายกับเกมที่แอนฟิลด์ปีก่อน เมื่อบอลถูกย้อนคืนมาจากจังหวะเกมบุกของ ซิตี้ ที่เกิดจังหวะฟ้องว่ามีการฟาวล์ เพราะแฮนด์บอล แต่ผู้ตัดสินให้เล่นต่อ และเช่นกันหนนี้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง บอกว่า เขาน่าจะได้ฟาวล์ เมื่อมีการเบียดมาจาก ดีโอโก้ โชต้า
ก่อนที่ ซิตี้ ที่กลับมาครองเกมได้เดี๋ยวเดียว ก็ได้ประตูตีเสมอ เปิดแผลระบบ “เฮฟวี่ฟุตบอล” ของ คล็อปป์ ใน ค.ศ.นี้ มาจากพื้นที่ในแดนกลางที่เปิดกว้าง การวิ่งไล่ริมสองฝั่งของ มาเน่ กับ โชต้า คนละรูปแบบกับที่ ฟาบินโญ่ ยืนปัก แล้วมี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม วิ่งสกรีนลงมาตรงพื้นที่ด้านใน
จังหวะนั้น เดอ บรอยน์ ราชันแอสซิสต์กัปตันเรือมี 2 อย่างที่ฝั่งข้ามไม่พึงประสงค์ให้มี นั่นคือ มีทั้งเวลา มีทั้งพื้นที่ และต้องชม กาเบรียล เฮซุส ที่พลิกแล้วจิ้มเร็ว ลูกนี้ครบทั้งหมดเช่นกันคือทิศทาง, น้ำหนัก, ทักษะ และจังหวะฟุตบอล
ที่สำคัญคือ แมนฯซิตี้ ผ่านบอลกัน 19 ครั้ง กับทีมระดับเดียวกันอย่างนี้ ถือว่าร้ายกาจมาก
จากนั้นบอลเป็นของ ซิตี้ แทบจะทั้งเกม น่าเสียดายที่มาพลาดจุดโทษแบบไม่น่าเชื่อของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ยิงออกไปแบบทุกคนงงกันหมด ทำให้ โจ โกเมซ รอดตัวไปจากการถูกจับแฮนด์บอลด้วยเทคโนโลยี วีเออาร์
“เมื่อคุณไม่สามารถเอาชนะได้ในเวลา 80-85 นาทีคุณก็ไม่สามารถแพ้ได้” เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กล่าวหลังเกมแบบผิดหวังเล็กๆ เพราะทีมเล่นดีกว่านานนับชั่วโมง
เป็นอีกครั้งที่บอลของเป๊ป ไม่แพ้บอลของ คล็อปป์ในบ้านตัวเอง การแก้หมากบีบพื้นที่ด้านในได้ผลเยอะมากเพียงแต่บอลของ แมนฯซิตี้ แม้จะเปลี่ยนเร็วมากจากซ้ายไปขวา
แต่มันไม่ค่อยไปข้างหน้าเหมือนเดิม และดูเหมือนกับว่าลังเลมากไปหน่อยว่าจะบุกให้แหลกเลยดีมั้ย หรือจะรัดกุมไว้ดีกว่า
ผลเสมอจึงถือว่า สมสัดสมส่วน ไม่ได้มีอะไรเสียหาย เมื่อ แมนฯซิตี้ ก็ไม่ได้บุกแหลก ส่วน ลิเวอร์พูล ได้ผลลัพธ์“ที่ต้องพอใจ” แม้จะต้องลงจากจ่าฝูงก็ตาม
เมื่อกลางสู้ไม่ได้ คล็อปป์ ก็ต้องมาเลือกเล่น 4-3-3 บอลมีปัญหา และสภาพร่างกายของนักบอลลิเวอร์พูล ดูโรยๆ การเปลี่ยนเอา ฟีร์มิโน่ ออก คือตามแทคติค เพียงแต่ “ภาษากาย”ของ บ็อบบี้ ดูแปลกๆ ไม่เหมือนเดิม แต่นั่นคือ “แท็กติก”ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่า แท้ที่จริงแล้ว ควรจะเอา โชต้า ออกดีกว่าหรือไม่ เพราะวันนี้ “ผีออก”
เซอร์ดาน ชาคิรี่ ลงมาในช่วงที่ทีมกำลังจูนเข้าระบบเดิม น่าเสียดายที่บอลรุกของ ลิเวอร์พูล หายไปหมด เมื่อ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เป็นอีกคนที่ต้องเจ็บออกจากสนาม
ผลการสแกนยังต้องลุ้นกันต่อไป และนี่เป็นอีกคนของลิเวอร์พูล ประสบปัญหาตัวหลักเจ็บต่อเนื่องไล่เรียงกันแทบจะไม่ไหวทั้ง อลิสซอน เบ๊คเกอร์, เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค, ฟาบินโญ่,ธิอาโก้ อัลคันตาร่า, นาบี เกอิต้า, ซาดิโอ มาเน่ เป็นอาทิ
ภาพที่ได้เห็นหลังจบเกม สะท้อนให้เห็นว่าทั้ง คล็อปป์ กับ เป๊ป ต่างเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ทั้งคู่สวมกอดกันสองครั้ง และไม่มีการคุยเรื่องเกมในสนาม แต่กล่าวกันถึงสถานการณ์ที่ พรีเมียร์ลีก ควรจะกลับไปเปลี่ยนตัวให้เหมือนกับชาวบ้าน ให้เหมือนกับที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ได้อนุมัติกรณีพิเศษ
ที่ผ่านมา คล็อปป์ คือตัวตั้งตัวตีที่ว่า ในช่วงเวลาที่“ฟุตบอลไม่ปกติ” บอลลีกควรเปลี่ยน 5 คน แต่สุดท้ายการโหวตจากสมาชิก รวมถึงคณะกรรมการพรีเมียร์ลีกที่ก็ “ไม่ค่อยปกติ” ให้เหลือ 3 เท่าเดิม แต่ไม่เหมือนที่อื่นที่ให้เปลี่ยน 5
แนวทางการต่อสู้ยังดำเนินกันต่อไป ภาพกุนซือสองฝั่งที่เป็น “ชุดล่าแชมป์” ดูเป็นมิตรมากกว่ายุคบอลเดือดอย่างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับ อาร์แซน เวนเกอร์
โลกดูเปลี่ยนไปหมด ไม่จำเป็นต้องเกลียดกัน หรือสาดน้ำลายใส่กันหากไม่มีความจำเป็นจริงๆ
ทุกอย่างมันทันกันหมด ทันกันตั้งแต่หน้ากระดานมายันถึงในสนามฟุตบอล
แท็กติกมหาศาลถาโถม แม้ฟุตบอลจะไม่ได้ดุเด็ดเผ็ดมัน แต่นี่คือฟุตบอลที่มาจากเจ้าแท็กติกแห่งยุค และเป็นฟุตบอลระดับคุณภาพเชิงสูง อย่างที่เขียนเอาไว้เมื่อฉบับสุดสัปดาห์ครับว่า นี่ไม่ใช่เกมตัดสินแชมป์ใดๆ
แต่มันได้บ่งบอกความยิ่งใหญ่ของทั้งสองทีมใน ค.ศ.และได้บอกถึงทิศทางของทั้งสองทีมในปีนี้
คล็อปป์ กับ เป๊ป ตอบทุกคนได้ว่า ทั้งสองคนยังเหมือนเดิม
ใช่ครับ...ทั้งคู่ยังน่าเกรงขามเหมือนเดิม!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี