วันศุกร์ ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / กีฬา
แด่.....'เชราร์ อุลลิเยร์'..... คุณครูผู้พาลิเวอร์พูลสู่แชมป์'บ้าคลั่ง'!!!!

แด่.....'เชราร์ อุลลิเยร์'..... คุณครูผู้พาลิเวอร์พูลสู่แชมป์'บ้าคลั่ง'!!!!

วันจันทร์ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 18.13 น.
Tag : เชราร์ อุลลิเยร์ อดีตกุนซือหงส์ อุลลิเยร์ หงส์แดง ลิเวอร์พูล บี แหลมสิงห์
  •  

.......โลกลูกหนังได้สูญเสียบุคลากรไปอีกราย และตอกย้ำว่า ปี 2020 แทบจะไม่มีอะไรดีเลย(หรือยังไง)!!!!!

"ดร.ฮู"เชราร์ อุลลิเยร์ เสียชีวิตไปแบบช็อคแฟนฟุตบอล โดยเฉพาะชาวฝรั่งเศส และลิเวอร์พูล เอฟซี

ผู้มอบตำแหน่งกัปตันทีมให้กับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และล้างคราบสไปซ์บอยออกไป เพื่อให้ทีมเติบโตขึ้นจนคว้า 3 แชมป์บอลถ้วยปี 2001

......วันนี้ผมนำเรื่องราวของท่าน ที่ผมเขียนเอาไว้ในหนังสือ #สตอรี่สีแดง ฉบับแชมป์ยุโรป YNWA ฉบับไดเรคท์คัท แบบปัจจุบันทันด่วนมาฝาก เพราะไม่คิดและไม่ฝัน

เมื่อสักบ่าย 3 โมง เพิ่งเปิดเกม ลิเวอร์พูล เจอ เชลซี ปี 1997 ดู และยังคุยกับน้องที่ทำงานโต๊ะกีฬากันว่า การเล่นไม่ค่อยเสถียรและแผนที่ไม่รัดกุมของ รอย เอฟแวนส์ คือส่วนสำคัญในการนำ เชราร์ อุลลิเยร์ สู่แอนฟิลด์

ตกใจและเศร้าใจมาก ๆ ครับ

นี่คือบันทึกเพื่อไว้อาลัยต่อการจากไปของ "คุณครูฟุตบอล" ยุครอยต่อสู่สหัศวรรษใหม่ ปีมหัศจรรย์ซีซั่น 2000-01

เศร้าใจจริง ๆ ..........

**************************

......จนถึงยุคผันผ่านของม่านประเพณีแอนฟิลด์ เป็นกุนซือคนคู่ เอฟแวนส์ กับ เชราร์ อุลลิเยร์ ทำงานร่วมกันไม่ถึง 3 เดือน

13 พฤศจิกายน 1998 สู่มือของ อุลลิเยร์................

นกไลเวอร์เบิร์ด เหมือนกับโบยบินหายไปในทะเล.....................................

กระทั่งซีซั่นมิลเลนเนี่ยม สู่สหัสวรรษใหม่ ที่หลายคนหวั่นไหวกับ Y2K สุดท้ายก็แค่ฮึ้ยยยยยย!!!!!!!

...........................

# สวัสดีครับ....คุณครู

ซีซั่น 2000-2001 การทำงานปีที่ 3 ของ "ด็อกเตอร์ฮู" เชราร์ อุลลิเยร์ ที่ยิ่งกว่า "ขุนแผนฟันม่าน" เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เพราะ "หงส์แดง" ไม่เคยมีกุนซือ"นอกเกาะ"

อุลลิเยร์ เหมือนกับเป็นคน"นอกคอก"ในสายตาแฟนบอลที่ยังไม่รับ แท้ที่ทรูแล้วนั้น เขาคุ้นชินกับการมาอยู่ที่เมืองลิเวอร์พูล

แต่ถ้าคุณไม่ได้อยู่ที่"โรงเรียนของหนู".....หนูก็คงยากจะรู้จักครูคนนี้

......เชราร์ ปอล ฟรองซัวส์ อุลลิเยร์ เกิดที่ เตอรอง ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยลีลล์ ในฝรั่งเศส แต่ชีวิตหักเห คุณพ่อป่วยทำให้แนวทางที่วางไว้ต้องเปลี่ยน สุดท้ายชีวิตพลิกผันกลายมาเป็นคุณครู
แถมยังจับพลัดจับผลูมาเป็นครูในเมืองลิเวอร์พูล ได้ยังไง ใครก็งง!!!!!

เชราร์ อุลลิเยร์ บนวัย 21 ปี มาทำงานที่แดนสวรรค์แห่งนี้ เมื่อปี 1969 ที่อัลซอป คอมพรีเฮนซีฟ สคูล(Alsop Comprehensive School) ที่วอลตัน ซึ่งอยู่ทางเหนือจากแอนฟิลด์ และอยู่ทางตะวันออกของ ออเรลล์ พาร์ค และบูเทิ่ล ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นโรงเรียนไฮสคูล

วอลตัน เป็นสถานที่เกิดของ เซอร์พอล แม็คคาร์ธนี่ย์ แห่ง 4 เต่าทอง เดอะ บีทเทิลส์ และสำคัญที่สุดก็คือเป็นบ้านเกิดของ โจ เฟแกน กุนซือคนล่าสุดที่พา ลิเวอร์พูล ครองแชมป์ยุโรป

โลกกลมอีกแล้ว!!!!!

ดร.ฮู หรือที่ตอนนั้นหลายคนเรียกแกว่า "เฮียโปน" ตามรูปลักษณ์คือลูกกะตาที่ล้นทะลัก มาเป็นคุณครูในตำแหน่ง Assistant และมีโอกาสเข้าชมเกม ลิเวอร์พูล ครั้งแรกที่แอนฟิลด์ นั่นคือเกมที่ทีมยำ ดันดาล์ค จากไอร์แลนด์ 10-0

เขาเล่นบอลอยู่ที่อัลซอป ในฐานะมือสมัครเล่น อยู่ได้ 2 ปีก็กลับไปเป็นครูที่ฝรั่งเศส เขาไม่สามารถเป็นนักเตะอาชีพที่โด่งดัง จึงตัดสินใจเอาดีศึกษาต่อกระทั่งได้เป็นประธานเทคนิคฟุตบอลฝรั่งเศส และคุมทีมชาติฝรั่งเศสมาแล้วถึง 3 รุ่น ที่สำคัญก็คือในช่วงฟุตบอลโลก 1998 อุลลิเยร์ คือหนึ่งในคีย์สำคัญที่ช่วยงาน เอ็มเม ฌักเกต์ กระทั่ง “ไก่ทองคำ” ครองแชมป์โลกเป็นสมัยแรก

16 กรกฎาคม 1998 คือวันที่เข้ามารับงานที่แอนฟิลด์ ร่วมกับ รอย เอฟแวนส์ แต่ทำงานร่วมกันเพียง 18 เกมแล้วไม่เวิร์ค ทำให้ เอฟแวนส์ ลาออกพร้อมกับ รอนนี่ มอแรน คู่หูตลอดชีพ

เชราร์ อุลลิเยร์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนเดียว และแน่นอนว่า เขาต้องเลือกคนที่นี่มาเป็นผู้ช่วย เพื่อให้ทำงานเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์

คนที่เขาเลือกคือ ฟิล ธอมป์สัน กัปตันทีมชุดแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1981

.............................................................

#สู่ซีซั่นแห่งความบ้าคลั่ง

คราบไคลแห่ง”สไปซ์บอย” ได้หมดไปจากแอนฟิลด์ นักเตะชุดหล่อแต่แหลกไม่ล๊ายยยยยยย ค่อย ๆ หายไปทีละคนสองคน

อย่างไรก็ดี แม้ว่า “ดร.ฮู” จะเป็นคนต่างชาติ และซื้อนักเตะต่างชาติมาอยู่ในทีมมากมาย แต่เขาก็ไม่ทิ้งนักเตะท้องถิ่น เพราะแกเข้าใจดีว่า สโมสรนี้คือความภาคภูมิใจของเมือง นักเตะท้องถิ่นจึงจำเป็น นักเตะในอะคาเดมี่ยังได้รับโอกาสให้ไปต่อ

หนึ่งในนั้นคือ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมร่วมกับ ซามี่ ฮูเปีย ปราการภูผาน้ำแข็งจากฟินแลนด์ และเจมี่ เร้ดแนปป์ อีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งสไปซ์บอย

ในซีซั่น 2000-01 ทีมมีปราการหลังประจำทีมที่ลงตัว ซามี่ ฮูเปีย กับ สเตฟาน อองโชซ์ มาพร้อมกันในซัมเมอร์ปี 1999 ได้ยืนเป็นตัวหลักไปแล้ว จากนั้นในซัมเมอร์ 2000 เชราร์ อุลลิเยร์ เติมสองแนวรับจากเยอรมนีเข้ามาในทีม นั่นคือ คริสเตียน ซีเก้ แบ๊คซ้ายจากมิดเดิ้ลสโบรช์ 5.5 ล้านปอนด์ และเซ็นฟรีสุดคุ้มกับ มาร์คุส บับเบิ้ล ที่เป็นฟรีเอเยนต์

เท่านั้นยังไม่พอ “ครอส เดอะ พาร์ค” เกิดขึ้นอีกครั้งหนนี้เป็น นิค บาร์มบี้ มาจากเอฟเวอร์ตัน 6 ล้านปอนด์ เป็นการซื้อที่ยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับการเซ็นฟรี “ลุงแม็ค” แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ วัย 36 ปี ที่การเล่นของเขาทั้งซีซั่นตอบคำถามทุกอย่างที่คาใจ และอีกคนคือ อีกอร์ บิสคาน 5.5 ล้านปอนด์จากดินาโม ซาเกร็บ ที่เจ้าตัวต้องแบกรับกับฉายา “นิว โบบัน” อันแสลงใจ ทั้งที่สไตล์ต่างกันสิ้นเชิง

จิ๊กซอว์สุดท้ายคือการได้ ยารี่ ลิตมาเน่น จอมคลาสสิคจากบาร์เซโลน่า ในช่วงปีใหม่ 2001 ทำให้การเล่นเกมรุกหลากหลายขึ้น ในเกมที่ต้องใช้นักเตะมากมาย กองหน้าที่มีอยู่ 3 คนคือ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, ไมเคิล โอเว่น และเอมิล เฮสกี้ ไม่พอแน่นอน

ซีซั่นนี้ ลิเวอร์พูล ลงสนามเต็มแม็คถึง 63 นัด อยู่ในวันสุดท้ายของการแข่งขันทั้ง 4 รายการ ที่สำคัญก็คือ ลุ้นจนหยดสุดท้ายทั้ง 4 รายการเช่นกัน

ผู้เล่นกำลังสำคัญคือ ซานเดอร์ เฟสเตอร์เฟลด์ นายประตูหน้าเดียวจากเนเธอร์แลนด์ ที่เฝ้าเสาให้ทีมไปถึง 61 เกม มากที่สุดในทีม เช่นเดียวกับ มาร์คุส บับเบิ้ล ที่ยึดตำแหน่งแบ๊คขวา เป็นผู้เล่นเอาท์ฟิลด์คนเดียวที่ลงครบทุกนัดในลีก ขณะที่ เจมี่ คาร์ราเกอร์ เด็กถิ่นจากบูเทิ่ล ลงเล่นได้ทุกตำแหน่งในเกมรับ ประจำการฝั่งซ้าย

ดีทมาร์ ฮามันน์ ห้องเครื่องจากเยอรมนี เป็นหัวใจในแดนกลางร่วมกับเด็กท้องถิ่นจอมพลังอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่ก้าวขึ้นมาในยุคของ เชราร์ อุลลิเยร์ แถม แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ ยังฟิตปั๋งลงเล่นไปถึง 49 เกม มากกว่าคนหนุ่มอย่าง แดนนี่ เมอร์ฟี่ย์ ด้วยซ้ำไป

ส่วนแดนหน้า เอมิล เฮสกี้ ลงเล่นในตำแหนี่งนี้มากที่สุด และในซีซั่นนี้เขามีค่ามากกว่าคำนินทาที่ว่า “กองหน้าตัวรับ”

3 กองหน้าของหงส์แดงช่วยกันผลิตประตูถึง 63 ประตู เอมิล เฮสกี้ ยิงได้ถึง 22 ประตูในทุกรายการ ตามหลัง ไมเคิล โอเว่น ที่ทำได้ 24 ลูก ส่วน ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ซัดไป 17 ลูก
.....................................................

#The Treble

เชราร์ อุลลิเยร์ ที่มือเปล่ามาตลอดในการทำงานที่แอนฟิลด์ สามารถพาทีมครองได้ทั้งแชมป์ลีก คัพ และเอฟเอ คัพ ในปีเดียวกัน

เป็นทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่คว้าแชมป์บอลถ้วยในประเทศได้ทั้งสองรายการ ต่อจาก อาร์เซนอล ที่เคยทำไว้ในปี 1993

“หงส์แดง” ที่โหยหาแชมป์มานาน เข้าสู่ปีที่ 6 แห่งความว่างเปล่า นับตั้งแต่แชมป์ลีกคัพ หรือ “โคคา โคล่า คัพ” ปี1995

“ดร.ฮู” พาทีมเข้าสู่มิลเลนเนี่ยน สเตเดี้ยม กรุงคาร์ดิฟฟ์ ประเทศเวลส์ ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2001 เข้ามาดวลกับ “ลูกโลก” เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ทีมจากเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ก่อนจะชนะจุดโทษหวุดหวิด 5-4 ในช่วงซัตเด้นเดธ

เจมี่ คาร์ราเกอร์ ยิงเข้า และซานเดอร์ เฟสเตอร์เฟลด์ เซฟลูกยิงของ “พระเอกตัวจริง” แอนดี้ จอห์นสัน หรือ AJ ทำให้ตำแหน่งแชมป์กลับมายังแอนฟิลด์อีกครา

ถือเป็นการประเดิมความสำเร็จ และเป็นแชมป์ที่ชี้วัดอนาคตของซีซั่นนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าหากพลาดแชมป์นี้

อาจไม่มีคำว่า “3แชมป์ในตำนาน”แน่นอน

เผลอ ๆ อาจจะว่างเปล่าไปเลยก็เป็นไปได้เช่นกัน

......แชมป์ต่อมาคือ เอฟเอ คัพ “หงส์แดง” เป็นรอง “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ตลอดทั้งเกม โดนบดขยี้เอียงไปเอนมา และตามหลังก่อน 0-1 แต่พลิกกลับมาเอาชนะได้ 2-1 ได้ถ้วยราชันน็อคเอาท์มาครองเป็นหนแรกในรอบ 9 ปี

นาทีนั้น 12 พฤษภาคม 2001 ลิเวอร์พูล ครองดับเบิ้ลแชมป์ ทำให้อีก 4 วันต่อมา พวกเขาเดินทางไปยังดอร์ทมุนด์ ด้วยความมั่นอกมั่นใจ ในการชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ กับ อลาเบส ม้ามืดจากสเปน

เส้นทางในยูฟ่า คัพ ปี 2001 ถือเป็นการครบรอบ 10 ปีพอดี กับการคัมแบ๊คกลับมาเล่นฟุตบอลยุโรป ในซีซั่น 1991-92 พร้อมกับมีแมทช์แห่งความทรงจำก็คือ “หงส์แดง” พลิกนรกเอาชนะ โอแซร์ สุดมันส์ 3-0 เข้ารอบได้แบบแรงจริงยิ่งกว่าผีผลัก 3-2

ลิเวอร์พูล เข้าชิงด้วยการถูกยกให้ ”เป็นต่อ” หลังจากปราบทีมดังอย่าง อาแอส โรม่า จากอิตาลี, เอฟซี ปอร์โต้ ของโปรตุเกส และบาร์เซโลน่า ของสเปน

เอาเข้าจริง ลิเวอร์พูล เกือบเอาตัวไม่รอดในเกมกับ โรม่า ที่แอนฟิลด์ หลังจากบุกไปชนะมาก่อนที่โรม 2-0

หนึ่งในเกมที่ตื่นเต้นสุด ๆ และพลิกไปพลิกมาหลายตลบ แม้ว่าจะมีเพียงแค่ประตูเดียวเกิดขึ้นในเกม

เรื่องมันมีอยู่ว่า ลิเวอร์พูล ได้จุดโทษแบบค้านสายตา เมื่อ โฆเซ๋ มาเรีย-การ์เซีย-อรานด้า ผู้ตัดสินชาวสเปน บอกว่า โจนาธาน เซบีน่า ไปเหนี่ยว เอมิล เฮสกี้

แต่ ไมเคิล โอเว่น ยิงไปติดเซฟของ ฟรานเชสโก้ อันโตนิโอลี่...........

โรม่า ก็เลยได้ใจ และได้ประตูขึ้นนำจากการยิงไกลแล้วมันไซด์เสียบมุมของ จิอันนี่ กิกู ห้องเครื่องสำรองชาวอุรุกวัย ที่ไม่เคยไปแถวอุรุพงศ์

ทีนี้ยุ่งเลย เกมเหลือ 20 นาที สกอร์รวมกลับมา โรม่า ย่อมาเหลือ 1-2
แล้วพวกเขามาได้จุดโทษ

วินเซนโซ่ มอนเตลล่า เตะบอลไปโดนแขนของ มาร์คุส บับเบิ้ล บอลออกหลัง เสียงนกหวีดยาวดังจาก โฆเซ่ มาเรีย-การ์เซีย-อรานด้า อีกครั้ง เขาชี้ไปที่จุดโทษ......

แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา ผู้ตัดสินแดนแมลงวัน ตัดสินใจเปลี่ยนคำตัดสิน จาก"ลูกจุดโทษ" กลายเป็น"ลูกเตะมุม" ทำเอานักเตะโรม่า กรูเข้าไป

ประท้วงหนัก ก่อนเหตุจะจบด้วยใบเหลืองที่ควักออกมาแจกกันยับไปหมด
ลูกนั้นทำให้ โรม่า หมดแรงไปด้วย แถม ดาเมียโน่ ตอมมาซี่ มาโดนไล่ออก ทำให้ "หงส์แดง" รอดมาได้อย่างหวุดหวิด

ไม่แปลกที่จะบอกว่า เกมนี้สำคัญอย่างที่สุดในเส้นทางสู่การเป็นแชมป์ยูฟ่า คัพ สมัยที่ 3

#ชัยชนะอันบ้าคลั่ง

เกมนัดชิงชนะเลิศ 16 พฤษภาคม 2001 ที่เวสต์ฟาเล่น สตาดิโอน, ดอร์ทมุนด์ ประเทศเยอรมนี “หงส์แดง” เข้าชิงบอลยุโรปเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เฮย์เซลล์ นัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1985
นับได้ 16 ปีแห่งความหลังพอดิบพอดี

ลิเวอร์พูล เคยคว้าแชมป์รายการนี้ 2 ครั้ง แต่เป็นการเตะเหย้า-เยือนมาตลอด หนนี้เป็นครั้งแรกที่เล่นแบบเกมเดียว ส่วน อลาเบส นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทีมที่ได้เข้าชิงบอลยุโรป
กติกาคือ ถ้าเสมอกันต้องต่อเวลา และใช้กติกา”โกลเด้น โกล์”

11 นักเตะตัวจริงของ เชราร์ อุลลิเยร์ ที่เขาเลือกลงเล่นในนัดนี้คือระบบ 4-4-2 ไดมอนด์

เขาเลือกความเก๋าของ แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ กับ ดีทมาร์ ฮามันน์ ในแดนกลาง และวาง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ให้พล่านไปทั่วกับ แดนนี่ เมอร์ฟี่ย์

คู่กองหน้า เอมิล เฮสกี้ สตาร์ทกับ ไมเคิล โอเว่น

ส่วนแผงหลังแบ๊คโฟร์ลงตัวที่ มาร์คุส บับเบิ้ล แบ๊คขวา กับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ แบ๊กซ้าย โดยมี ซามี่ ฮูเปีย กับ สเตฟาน อองโชซ์ เป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่ ด่านสุดท้าย ซานเดอร์ เฟสเตอร์เฟลด์

เท่ากับเปลี่ยนทีมจาก 4 วันก่อนที่ครองถ้วยเอฟเอ คัพ เพียงตำแหน่งเดียวก็คือ วลาดีเมียร์ ซมิเซอร์ มาเป็น แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์

ฝั่ง อลาเบส ที่โนเนมมาก ๆ ในคราครั้งนั้น พวกเขามี ยอร์ดี้ ครัฟฟ์ บุตรแห่งโยฮัน เทวดาลูกหนัง เป็นตัวนำทัพ พร้อมด้วย คอสมิน คอนทร้า แบ๊กจอมลุยแดนผีดิบ โรมาเนีย ที่ดังมาจากยูโร 2000 และแดน เอ็กเก้น กองหลังตัวดังทีมชาตินอร์เวย์

สำหรับผมแล้ว นี่คืออีกหนึ่งเกมที่บ้าคลั่งมาก ๆ

ลิเวอร์พูล นำมาตลอด และโดนไล่มาตลอด เป็นไปได้ยังไงที่มี 8 ประตูในนัดชิงชนะเลิศ ช่วงเวลาแค่ 88 นาทีผ่าน คือแทบจะไม่มีเวลาหยุดหายใจ หรือไว้ใจใครไม่ได้เลย

เผลอมายิง โผล่มาใส่ อยากจะเป็นลมตายจริงๆ!!!

มาร์คุส บับเบิ้ล ทำให้ ลิเวอร์พูล นำ 1-0 จากนั้นถูกตีเสมอ แต่สองประตูต่อมาเป็นของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และจุดโทษของ แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ สกอร์นำ 3-1 ในครึ่งแรก

เอาเข้าจริงคืออุ่นใจอย่างที่สุด ไมต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว

แต่เริ่มครึ่งหลังแค่ 6 นาที สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 3-3 อลาเบส ที่เหมือนไม่มีอะไร แต่เริ่มคายพิษสงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ เชราร์ อุลลิเยร์ แก้ลำด้วยถอดเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวจริงออก!!!!

สเตฟาน อองโชซ์ ออกจากสนาม แล้วขยับ มาร์คุส บับเบิ้ล ไปยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ ซามี่ ฮูเปีย แล้วถอย สตีเว่น เจอร์ราร์ด มาเป็นแบ๊กขวา โดยที่ตัวสำรองอย่าง วลาดีเมียร์ ซมิเซอร์ ไปทำเกมด้านขวาแทน

นาทีที่ 64 ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ถูกส่งลงสนามแทนที่ของ เอมิล เฮสกี้ และอีก 9 นาทีต่อมา “ไอ้หนุ่มพลาสเตอร์ยา” ก็แผลงฤทธิ์พังประตูด้วยเท้าขวา ข้างที่เขาไม่ถนัด ทำให้ทีมนำอีกครั้ง 4-3 และมันควรจะจบ

เชราร์ อุลลิเยร์ ปรับทีมอีกที หลังว่าจะทุกอย่างจะจบแน่ ๆ ส่ง แพทริค แบร์เกอร์ ลงไปช่วยครองเกม ปรับแผนมาเป็น 4-5-1 แต่ก็มาโดนตีเสมอจาก “ลูกเทวดา” ยอร์ดี้ ครัฟฟ์ ในช่วงก่อนหมดเวลาแค่นาทีเดียว

ต้องต่อเวลา.............................

สภาพของนักเตะตอนนั้นถือว่า เพลียสุด ๆ การที่ต้องเล่นมาถึงนัดที่ 62 ในฤดูกาลมันกำลังเล่นงานนักเตะของเรา เช่นเดียวกับแฟนฟุตบอล

จำได้ว่า สกอร์ 4-4 มันไม่ค่อยได้เกิดขึ้นกับฟุตบอลเท่าไหร่นัก ภาพที่เสียบเข้ามาในหัวก็คือ ภาพที่ เคนนี่ ดัลกลิช ยืนซึมแล้วนักเตะเดินผ่านตัวเขา ในเกมที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 4-4 ในศึกเอฟเอ คัพ นัดรีเพลย์ ปี 1991
เป็นเหตุให้ เคนนี่ ดัลกลิช ลาออก

.........อย่างไรก็ดี สถานการณ์ดูดีขึ้นเมื่อ แม็กโน่ โมเซลิน กองหน้าสำรองชาวบราซิล ของอลาเบส โดนไล่ออกเพียงแค่ 8 นาทีหลังจากการต่อเวลาเริ่มต้นขึ้น เขาโดนใบเหลืองใบที่สอง เนื่องจากพุ่งไปเสียบ มาร์คุส บับเบิ้ล อย่างน่าเกลียด
เกมเหลืออีก 4 นาทีจะหมดเวลาต้องไปดวลจุดโทษ เกิดจุดเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อ วลาดีเมียร์ ซมิเซอร์ กระชากบอลหนี อันโตนิโอ คาร์โมญ่า กัปตันทีมอลาเบส ทำให้แกนนำของทีมจากสเปน ต้องรวบเอาไว้.......

ใบแดง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

จากจังหวะนี้เอง แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ เปิดฟรีคิกแบบได้เสียไปที่หน้าประตู บอลไปตกใส่ศรีษะของ เดลฟี่ เกลี่ แบ๊กซ้ายของอลาเบส บอลเปลี่ยนทางผ่านมือ มาร์ติน เอร์ราร่า นายประตูเข้าไปเสียบตาข่าย เป็นประตูชัยให้กับ หงส์แดง เอาชนะไปได้ 5-4
ครองแชมป์ยูฟ่า คัพ เป็นสมัยที่ 3 แบบหัวใจแทบวางวาย

ภายหลังเกม เสียงแซ่ซ้องความสำเร็จกระหึ่มไปทั่ว เช่นเดียวกับผู้ชายวัย 36 ปีที่ชื่อ แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ นี่คือการเซ็นสัญญาครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสรก็ว่าได้

“OutStanding” คือคำยกย่องจาก เทรเวอร์ บรุ๊คกิ้ง อดีตยอดกองกลางทีมชาติอังกฤษ เช่นเดียวกับ อลัน แฮนเซ่น อดีตกัปตันทีมลิเวอร์พูล ที่ทำงานกับสำนักข่าวบีบีซี

เชราร์ อุลลิเยร์ พาตัวเองมาเป็นหนึ่งในตำนานความสำเร็จของสโมสรลิเวอร์พูล ถิ่นที่เขาเริ่มต้นการทำงานในอาชีพผู้ช่วยครู ได้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยระยะทางเวลาห่างกัน 32 ปี

“นี่คือเกมฟุตบอลที่สุดยอด” อุลลิเยร์ กล่าวหลังเกม “ผมดีใจจนบอกไม่ถูก นี่คือความมหัศจรรย์เหลือเกินกับการเป็นแชมป์ถึง 3 ครั้ง เป็นแชมป์ถึง 3 รายการในปีเดียว นี่คือความยิ่งใหญ่อย่างที่สุด นับตั้งแต่เราครอง 3 แชมป์ได้เมื่อปี 1984 ผมจะไม่ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในซีซั่นนี้จนชั่วชีวิต”

ที่สำคัญ ทีมปิดท้ายซีซั่นด้วยการถล่ม ชาร์ลตัน แอธเลติค ถึงเดอะ วัลเลย์ 4-0 คว้าอันดับ 3 มาครอง และได้ไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

ปิดซีซั่นนั้นด้วยความสำเร็จที่พรั่งพรูโดยแท้......................

ล่าก่อนครับครู.........เชราร์ อุลลิเยร์


บี แหลมสิงห์

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • แต้มสุดท้าย!5แชมเปี้ยนชิพพอยต์สของ\'หงส์แดง\' แต้มสุดท้าย!5แชมเปี้ยนชิพพอยต์สของ'หงส์แดง'
  • ก่อนถึงเส้นชัย’พรีเมียร์ลีก’ ก่อนถึงเส้นชัย’พรีเมียร์ลีก’
  • สัญญาครั้งสำคัญ!\'ซาลาห์\'นำหงส์ทุบค้อนสู่เส้นทางแชมป์ สัญญาครั้งสำคัญ!'ซาลาห์'นำหงส์ทุบค้อนสู่เส้นทางแชมป์
  • เปิดไทม์ไลน์! ‘ซาลาห์’เซ็นสัญญาใหม่กับหงส์แดง เปิดไทม์ไลน์! ‘ซาลาห์’เซ็นสัญญาใหม่กับหงส์แดง
  • เหตุแข้งผีหงส์เริงร่า! กับอีกหนึ่งดาร์บี้ที่ดีที่สุดของสเปน เหตุแข้งผีหงส์เริงร่า! กับอีกหนึ่งดาร์บี้ที่ดีที่สุดของสเปน
  • 70ปีที่รอคอย! ‘สาลิกา’แชมป์จากมุมมองที่เวมบลีย์ 70ปีที่รอคอย! ‘สาลิกา’แชมป์จากมุมมองที่เวมบลีย์
  •  

Breaking News

โลกจับตาบินรบ‘จีน’ หลังถูกใช้โดยปากีสถานสอยเครื่อง‘ฝรั่งเศส’ของอินเดียร่วง

'ดิว อริสรา'เคลื่อนไหวแล้ว! โพสต์เศร้าถึง'คุณพ่อวิชิต' คนในวงการส่งกำลังใจแน่น

'บิว'นำทัพ!กรีฑาลุยศึกใหญ่‘WorldRelay’ล่าตั๋วชิงแชมป์โลก

'ทักษิณ'หมดทางแล้ว! 'เสรีพิสุทธ์' ชี้ยัดคุกได้เลย

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved