ทุกสายตากำลังจับจ้องอยู่ว่า “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี แชมป์เก่าทำไมได้สิ้นลายถึงเพียงนี้
เดือนกุมภาพันธ์ ยังบอกได้ว่า “หนักกว่าเธอเจอมาแล้ว” แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ
นี่คือทีมที่แย่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา 129 ปีไม่เคยเป็นแบบนี้นะ!!!
การแพ้ในบ้านติดๆ กัน 5 นัด ไม่ใช่เรื่องปกติ เมื่อบวกกับสองเกมก่อนหน้าเท่ากับว่าไม่ชนะใครเลยในบ้านตัวเอง 7 นัดติดต่อกันทั้งที่ก่อนหน้านั้นไร้พ่ายยาวนานมากๆ ถึง 68 เกม
สถานที่ที่เคยเป็นที่พักพังใจได้ดีที่สุด สถานที่ที่ “น่าเกรงขาม” มากที่สุด มลายกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ไปแล้ว
ปัญหานักเตะอาการบาดเจ็บรุมเร้าต่อเนื่อง คือสิ่งที่หลอกหลอนทีมมายาวนาน เล่นงานทีมมาเกือบ 5 เดือน ตกลงแล้วมันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่
1.ระบบบริหารที่คิดช้าตัดสินใจและโดนจี้ว่า “ขี้เหนียว”
2.ความมั่นใจและยึดมั่นในระบบของ เจอร์เก้น คล็อปป์
3.การลงเล่นในฐานะแชมป์เก่า
4.ดวงแตก, โชคร้าย นักบอลเจ็บ
5.ความเสียหายจากวิวัฒนาการของการตัดสิน
6.ทีมแพทย์ และการฟื้นฟูสภาพร่างกาย
7.โปรแกรมการแข่งขัน
8.ฟุตบอลยุคโควิด ไร้แฟน ไร้คนมาร่วมกดดัน
9.ตัวนักฟุตบอล
บลา บลา บลา ระยะห่างแค่ปลายก้อย จะไปห้ามความคิดใครทั้งหมดไม่ได้หรอกว่านี่คือ สถานการณ์จริง หรือก็แค่ “คำแก้ตัว”
วิจารณญาณ เป็นสิ่งสำคัญ บางคนก็ตึง บางคนก็หย่อน มันอยู่ที่แนวทางวิจารณ์ของแต่ละคนไป
ดังนั้นบางคน “ถ้าไม่พร้อม” ที่จะยอมรับกับ “เหตุผล”มาทีก็ควรอยู่ในเฉพาะ “พื้นที่ของตัวท่านเอง” มากกว่า
เริ่มจาก ข้อ 1.ระบบบริหารที่คิดช้าตัดสินใจและโดนจี้ว่า“ขี้เหนียว”
ด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ทุนหายกำไรหดแทบจะเป็นเรื่องปกติของทุกสาขาวิชาชีพ ตอนนี้หลายคนที่เป็น “นักสู้”
กลายเป็น “นักกู้” กันหมดแล้ว
ลิเวอร์พูล ยังไม่มีเรื่องตรงนี้ออกมา ยกเว้นความเฟอะฟะในช่วงแรกที่จะให้ภาครัฐมาอุ้ม และตัดเงินตัดจ๊อบของพนักงาน แต่ยืนยันตอนนี้ก็คือ แมนฯยูไนเต็ด ทีมที่มีมูลค่ามากที่สุดยังมีข่าวว่ากู้เงิน 60 ล้านปอนด์ ขณะที่ อาร์เซนอล 47.8 ล้านปอนด์ หลังหักภาษี สำหรับผลประกอบการสิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2020
อย่างไรก็ตาม ปัญหาคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟเจ็บหนักๆ เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่ถึงกลางเดือนพฤศจิกายน แต่มาแก้ไขในช่วงวันปิดตลาด2 กุมภาพันธ์ ไม่ใช่ว่า ผู้บริหารใจถึง หรือทีมซื้อจะมือทองอย่างที่ถูกอวยกันเกินฝีมือหรอก
มันมาจากความผิดพลาดในการตัดสินใจ
2.ความมั่นใจและยึดมั่นในระบบของ เจอร์เก้น คล็อปป์
“ผมสร้างทีมจากระบบ และกองหลัง คือหัวใจในการทำงานสองอย่างแรก” นี่คือคำย้ำของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ทุกคนเห็น “ภาพจริง” มาตลอด ในการสร้างทีมด้วยระบบ 4-3-3 ในยุคเขาทำงานจนเรืองอำนาจที่แอนฟิลด์ ตรงข้ามกับ 4-2-3-1 สมัยอยู่ที่นอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลีย กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
คำถามคือ คล็อปป์ จะขาดความยืดหยุ่นหรือไม่อย่างไรนั้น ไม่ใช่เรื่องหลัก และการปลด คล็อปป์ ที่แฟนบอลบางส่วนต้องการนั้นไม่ใช่จากเหตุผล มันมาจากอารมณ์มากกว่า
คล็อปป์ คงจะเห็นอะไรบางอย่างในเชิงลึกที่มากกว่าทุกคนภายนอก นั่นคือเรื่องปกติ แม้บางครั้งเส้นบางบางที่กางกั้นเอาไว้ มันเกิดขึ้นได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก เนื่องจากไม่มีกุนซือคนไหนต้องถามว่า “คนไหนพร้อม” ในทุกสัปดาห์
เอาเข้าจริง คล็อปป์ ได้ “แก้ลำ” ตรงนี้ไว้แล้ว และเห็นผลด้วยในเกมเยือน แมนฯซิตี้ ด้วยระบบ 4-2-3-1 หรือแทบจะเป็น 4-2-4 ด้วยซ้ำไป ทำเอา ซิตี้ เองก็งงเหมือนกันว่า กล้าใส่แบบนี้มาได้ยังไง
เพียงแต่ตอนนี้ ยุทธวิธีบางอย่าง ต้องเปลี่ยนไปให้หมด จนกว่า “หมุดสำคัญ” อย่าง เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค จะกลับมา เพราะวิธีการเล่นไฮจ์ไลน์ และสวิง พาสต์ ไม่ได้เล่นได้ทุกคน
อีกทั้งเมื่อเจอทางตัน ปิดแบบเดิมแก้ไม่ได้ นั่นไม่ใช่เพราะฝืมืออย่างเดียว
ตัวเลือกมันเท่านี้ กลายเป็น “เล่นได้แค่นี้” ไปซะฉิบ
3.การลงเล่นในฐานะแชมป์เก่าที่ใครๆ ก็อยากสอยมันลงมา
เป็นแชมป์คือเรื่องยาก แต่การป้องกันแชมป์นั้นยากสุดๆ ยังคงใช้ได้ในทุกสถานการณ์ และใช้ได้ในกีฬาทุกประเภท ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก แม้กระทั่งเวลาเราเตะเอง เจอกับแชมป์เก่า จะมีอยู่ครึ่งนึงที่ขนหัวลุก แต่อีกครึ่งนึงก็อยากจะเตะให้มันร่วงจมดิน
4.ดวงแตก, โชคร้าย นักบอลเจ็บ
ไม่มีฟุตบอลคราครั้งใดที่จะมีปัญหานักเตะเจ็บแบบน่าอนาถจิตขนาดนี้มาเก่าก่อน
อะไรมันจะเจ็บได้มากมายถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแต่ตัวจริงเท่านั้น ยังเจ็บยันตัวสำรอง แข่งจริงก็เจ็บ ซ้อมก็ยังเจ็บ มีข่าวนักบอลเจ็บแทบจะทุกสัปดาห์
ในยุคที่ คล็อปป์ มาทำงานใหม่ๆ ตอนนี้ทีมได้รับฉายาว่า “แฮมสตริง เอฟซี” เจ็บจุดเดียวกัน 14 คน
แต่หนนี้ไม่ใช่ มันคือการเจ็บหนักๆ หรือ injury blow เยอะแบบไม่เคยปรากฏ
หรือจะเป็นประเภท คอสตาส ซิมิกาส ไม่มีเคยเจ็บมาก่อนในอาชีพ มาที่นี่เจ็บไป 4-5 รอบแล้ว, เบน เดวิส ย้ายมาใหม่ก็ปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็ว นั่นก็คือ เจ็บตั้งแต่ไม่ทันลงสนาม
ล่าสุด โอซาน คาบัค ก็เจ็บอีกคน!!!
ฤาซีซั่นก่อน ได้ใช้โชคชะตาราศีไปหมดแล้ว
ตัวอย่างคือ จากผลการแข่งขันที่ควรจะได้ 0 กลายเป็น 1 หรือ จาก 1 เป็น 3 บางครั้งจาก 0 ก้าวไปหยิบ 3 คะแนน เลยก็บ่อยไป
จากจะยิงเมื่อไหร่ก็ได้ กลายเป็นยิงไม่ได้ และพร้อมที่จะเสียประตู
อีกทั้งความสูญเสียที่ไม่ใช่แค่ไหนอาชีพ และชีวิตจริง ได้ถาโถมเข้ามาทั้งแม่บังเกิดเกล้าของผู้จัดการทีม และบิดาของผู้รักษาประตู.......ไม่มีอะไรหนักไปกว่านี้อีกแล้ว
5.ความเสียหายจากวิวัฒนาการของการตัดสิน
ผลกระทบทางจิตใจไม่เพียงแต่ในและนอกสนามในการดวลแข้งกันแบบ “ตรงไปตรงมา”
ผลกระทบจาก วิวัฒนาการของการตัดสิน นั่นคือ วีดีโอช่วยเหลือการตัดสิน หรือ VAR ที่ส่งผลลบให้กับทีมถึง 11 ครั้ง มันทำให้ผลออกมาเป็นฝั่ง “ตรงกันข้าม”
“กลั่นแกล้ง” ล่ะหรือ “แสร้งไม่เห็น” ล่ะหรือ อันนี้ตอบไม่ได้ใดๆ ทั้งนั้น อันที่จริงทุกทีมก็ได้ประโยชน์จาก วีเออาร์ มาแล้วทั้งนั้น หนึ่งในนั้นก็คือ ลิเวอร์พูล
แล้วผลเสียล่ะ? ทุกทีมก็เคยโดนกันทั้งนั้น แต่ประเด็นคือ ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ถูกจับตา ถูกหมายสถิติ มันจึงเป็นตัวเลขที่ออกมาเช่นนี้
แฮนด์ที่อื่น เล่นกับทีมนี้ไม่แฮนด์, ที่อื่นล้ำหน้า เล่นกับทีมนี้ไม่ล้ำ แล้วเมื่อถูกจับล้ำแล้ว มันจะเอาตรงไหนล้ำ เอาตรงไหนไปตีเส้น แล้วก็ถามอีกว่า “จะเอาเส้นไหน” กันแน่
วีเออาร์ ไม่ผิดหรอก มันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง.......เรื่องนี้อยู่ที่คนที่ใช้มันต่างหาก
6.ทีมแพทย์ และการฟื้นฟูสภาพร่างกาย
ต้นเดือนธันวาคม ผมได้หยิบประเด็น “ทีมแพทย์” มาขบคิด แต่กลับกลายเป็นเสียงวิพากษ์จากแฟนบอลบางคนที่ว่า “ไม่เกี่ยวกัน”กับเรื่องของแพทย์ แต่โยนไปที่เรื่องของ “ดวงล้วน”
ในทางไสยศาสตร์ อาจจะใช่ เมื่อดวงล้วนๆ แบบไม่มีอะไรมาผสม แต่ถ้าทางวิทยาศาสตร์ล่ะ มันเกิดอะไรขึ้น!?!?!
แอนดริว แมสซี่ย์ หัวหน้าทีมแพทย์ ไปเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ Director of FIFA’s Medical department เป็นไปได้หรือไม่ว่า นอตสำคัญของ คล็อปป์ หายไปหนึ่งตัว
ก่อนปีใหม่ คล็อปป์ ได้ดึงเอา อันเดรียส ชลุมแบร์เกอร์ เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายฟื้นฟูร่างกายและประสิทธิภาพ ที่เคยร่วมงานกันตั้งแต่ที่ดอร์ทมุนด์ มาทำงาน ร่วมกับ อันเดรียส คอร์นเมเยอร์หัวหน้าทีมฟิตเนส, ลี นอร์บส์ หัวหน้าฝ่ายกายภาพบำบัด และจิม ม็อกซอน แพทย์ประจำสโมสร
นักบอลยังคงเจ็บอย่างต่อเนื่อง ทำเอา คริส มอร์แกน นักกายภาพบำบัดของสโมสร ต้องออกมาโต้แฟนบอลทางออนไลน์ ว่า การบาดเจ็บหลายอย่างคือสิ่งที่ไม่สามารถจะป้องกันได้
“มันซับซ้อนและมีหลายปัจจัย เราพยายามไม่ให้มันเกิดกับใครทั้งนั้น แต่อย่าลืมว่า จะต้องมีนักบอลลงสนามทุกๆ 3-4 วันอยู่ดีนี่แหล่ะ”
ยังไม่มีอะไรดีขึ้นจริงๆ
7.โปรแกรมการแข่งขัน
สอดคล้องกันกับสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน และคำพูดของทีมแพทย์ว่า การจะต้องเห็นนักเตะลงสนามในทุกๆ 3 หรือ 4 วันมันเป็นเรื่องยากต่อการป้องกันการบาดเจ็บ
หลายทีมเป็น แต่หลายทีมก็ไม่เป็น ซึ่งเรื่องนี้ก็มีโชคมาเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน
ลิเวอร์พูล เคยนับหัวนักบอลเจ็บได้มากที่สุดต่อนัดสูงสุดในซีซั่นนี้ของพรีเมียร์ลีก ถึง 12 คนมาแล้ว และเจอเรื่องประหลาดจนต้องเปลี่ยนคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟไปได้ยังไงถึง 21 คู่ด้วยกัน
คล็อปป์ คือผู้ถือธงนำหน้าในการเรียกร้องให้ พรีเมียร์ลีก ใช้กฎการเปลี่ยนผู้เล่น 5 คนเพื่อแบ่งช่วยเซฟนักเตะจากการอาการบาดเจ็บหลังเจอโปรแกมอัดแน่น เหมือนช่วงที่กลับมาจากล็อกดาวน์ แต่ก็ไม่เป็นผลใดๆ
แต่มันเป็นผลกับ ลิเวอร์พูล
8.ฟุตบอลยุคโควิด ไร้แฟน ไร้คนมาร่วมกดดัน
การไม่มีแฟนบอลเข้ามาในสนาม มันเหมือนกับการเตะแบบซ้อมใหญ่
แข้งขาคู่แข่งที่เคยสั่นเทิ้ม และสั่นเทา กระทั่งอากาศหนาวๆ แต่เหงื่อเม็ดโป้งๆ ยังไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว มือมีเหงื่อเต็มไปหมด ไม่เกิดขึ้นกับบอลยุคนี้
“เดอะ ค็อป” ขึ้นชื่อลือชาเรื่องเสียงเชียร์ไม่เป็นสองรองใครในตองอู และเมื่อไม่มีแฟนบอลเข้ามาร่วมกดดัน มันชัดเจนมากๆ ว่า เตะที่ไหนมันก็เหมือนกัน เหย้าแบบไม่ได้เหย้า เยือนก็เหมือนไม่ได้เยือน
ตัวอย่างก็คือ เกมชนะ วูล์ฟส์ 4-0 ถ้าหากวันนั้นไม่มีแรงกระตุ้นจากแฟนบอลที่ได้สิทธิ์เข้ามาชมในช่วงนั้น ผลอาจจะออกอีกทางก็เป็นได้
แต่ถึงอย่างไร.....ก็ไม่ควรจะแพ้ 5 นัดติดนะ!!!!
9.ตัวนักฟุตบอล
ตลอดขวบปีเศษๆ ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2019 มาจนถึง 25 มิถุนายน 2020 “หงส์แดง” เดินกวาความสำเร็จต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “แชมป์ที่ไม่เคยได้” กับ “แชมป์ที่ควรจะได้” พวกเขาได้มาหมด
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ และพรีเมียร์ลีก นี่คือ 3 โทรฟี่ใหญ่ที่มันอิ่มเอมและชวนให้หลงใหลอย่างมาก
แฟนบอลของแท้ และของทำเหมือน รวมถึงพวกอยู่ฝั่งชนะ ก็ร่วมด้วยช่วยกันอวยชัย ร่วมด้วยช่วยกันเฮ ลุกลามหนักไปจนถึง “แข่งกันรัก” และ “แย่งกันแสดงออก”
ไม่แปลกหรอกเพราะมันยี่งใหญ่จริงๆ และมันชั่งหอมหวลยิ่งกว่าคณะยี่เก
นอกจาก คล็อปป์ แล้ว นักบอลคือเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ ที่บันดาลความสำเร็จให้กับทีมมากมาย และทุกคนเล่นเพื่อทีม เล่นเพื่อความสำเร็จร่วมกัน
ไม่แปลกครับ ที่นักบอลบางคนจะเล่นเพื่อตัวเองบ้าง และจะต้องเล่นเพื่อความสำเร็จส่วนตัว เพื่อมูลค่าต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น
อีกทั้งแรงบันดาลใจ และความมุ่งมั่นมันจะเบาบางลงไปบ้าง เพราะไม่มีอะไรที่จะได้สูงไปกว่าแบบนี้อีกแล้ว
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นักฟุตบอล จะต้องคิดกันใหม่ แล้วลงสนามไปแบบ “ไม่มีมงกุฎ” และ “ไร้ซึ่งอีโก้”
ความมั่นใจมันไม่ได้ไปไหนหมดหรอก แต่แรงจูงใจต่างหาก
ที่จะต้องสร้างและเรียกมันกลับมาให้จงได้
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี