เมื่อ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล โคจรมาเจอกับ “สิงห์สั่งป่า” น็อตติ้งแฮมฟอเรสต์ ในศึกเอฟเอ คัพ วันอาทิตย์นี้ จึงเป็นความพิเศษ เพราะคู่นี้คือคู่ปะทะยุคปลาย 70-ปลาย 80 ที่สนุกตื่นเต้น และที่สำคัญก็คือมีเรื่องราวที่โลกไม่มีวันลืมในถ้วยใบนี้
15 เมษายน 1989...........วันที่แฟนฟุตบอลของลิเวอร์พูล เดินทางไปดูบอลที่ตัวเองรัก
แต่สุดท้ายพวกเขาไม่ได้กลับบ้านถึง 96 คน.........และปัจจุบันคือ 97 คน
สำคัญเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ซึ่ง ลิเวอร์พูล มีคิวดวลกับ ฟอเรสต์ ทีมดาวโรจน์ยุคสองของการปรุงทัพจากกุนซือปากตะไกร“ไบรอัน คลัฟ” ผู้ที่สกัดกั้นความฝันสู่แชมป์ยุโรป 3 สมัยติดต่อกันของ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 1979
“หงส์แดง” แชมป์ยุโรป 2 สมัยมีอันต้องตกรอบแรก หรือรอบ 32 ทีมสุดท้ายไปแบบช็อกตาตั้ง เมื่อโดน ฟอเรสต์ ขยี้ที่ซิตี้ กราวน์ด 2-0 ก่อนจะบุกมายันเสมอที่แอนฟิลด์ 0-0
แถมในปีก่อนหน้านั้น นัดชิงลีกคัพ 1978 ฟอเรสต์ ก็สกัดกั้นไม่ให้ ลิเวอร์พูล ครองแชมป์สมัยแรก ด้วยชัยชนะนัดรีเพลย์ 1-0
....การเจอกันในรอบตัดเชือกเอฟเอ คัพ คือสิ่งที่ ฟอเรสต์ ในยุคของ คลัฟ ปรารถนา เนื่องจากพวกเขากระโดดข้ามขั้นไปครองแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ถึง 2 สมัย ได้แชมป์ดิวิชั่น 1 ได้แชมป์ลีกคัพ
เหลือเพียงถ้วยน็อกเอาท์ใบนี้ที่จะต้องมีให้ได้
ลิเวอร์พูล ในซีซั่นนั้น ออกสตาร์ทแบบสงสัยหัวเทียนบอด สะดุดมาตลอดเส้นทาง ก่อนจะตะบึงห้อขึ้นมาลุ้นแชมป์ดิวิชั่น 1 แบบหน้าตาเฉยทั้งที่มีแต้มตาม อาร์เซนอล ถึงสองหลักในช่วงเดือนธันวาคม
การลงสนามในเกมที่ฮิลล์สโบโร่ จึงมีความหมายต่อทั้งสองทีมเป็นอย่างมาก
เกมผ่านไปแค่ 6 นาที เกมต้องยุติลงเนื่องจากมีแฟนบอลแออัดยัดทะนานกันเข้ามาในสนาม ผมนั่งดูการถ่ายทอดสดเกมคู่นี้อยู่ และเชื่อว่า “สวิตชิ่ง” ที่ควบคุมการถ่ายทอดสดน่าจะอึ้งไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้เห็นภาพแฟนบอลเหมือนกับจะตกอัฒจันทร์ต่อจากนั้นอีกเกือบนาที
สุดท้ายมีแฟนบอลเสียชีวิตถึง 96 คน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากความต้องการดูเกมคู่นี้สูงมาก แต่ตั๋วบอลไม่พอ แฟนบอลกระจุกกันที่หน้าสนามทั้งคนที่มีและไม่มีตั๋ว บวกกับทางเข้าที่คับแคบตำรวจและการ์ดควบคุมสถานการณ์ไม่ได้
กระทั่งการ์ดมี “แนวคิด” ที่ผิดอย่างแรง เมื่อเปิดประตู “เกต C”ที่ไม่มีการเช็คตั๋วให้แฟนบอลเข้าสู่สนาม ประตูนั้นกลายเป็นประตูมรณะไปตลอดกาล....................
ทางเข้าจากประตูดังกล่าวทำให้แฟนบอลมุ่งหน้าสู่ล็อก 3-4 ที่มีความจุได้เพียง 1,600 ที่นั่ง แต่กลับมีคนเข้าอัดกันรวม 3,000 คน และมีรั้วกั้นอยู่ขอบสนาม ทำให้แฟนบอลหายใจไม่ออกเสียชีวิตคาที่ และบางรายเหยียบกันเสียชีวิต
94 คน เสียชีวิตทันทีที่สนาม
4 วันต่อมาแฟนบอลวัย 14 ปีเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
4 ปีต่อมา โทนี่ แบลนด์ อีกหนึ่งแฟนบอลที่นอนอาการโคม่าเสียชีวิตมีนาคม 1993
ล่าสุดคือ สิงหาคม 2021 แอนดรูว์ เดอไวน์ แฟนบอลหงส์แดงวัย 55 ปี ที่เพิ่งปรากฏตัวเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมื่อครั้งที่รถแห่ฉลองเจ้ายุโรป สมัยที่ 6 จอดที่หน้าบ้านของเขา ซึ่ง เจมส์ มิลเนอร์ เป็นคนยื่นถ้วยให้ได้ชื่นชม ก็ได้เสียชีวิตลงเป็นรายที่ 97
รวมแล้ววงการฟุตบอล และเดอะ ค็อป สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปทั้งสิ้นถึง 97 คน
น่าแปลกและประหลาดในใจอย่างที่สุด ตรงที่ คดีดังกล่าวกลับถูกปิดเงียบอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่กังขาว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่กับเหตุการณ์นี้ผู้ตายที่ไม่เคยได้รับการดูแลจากรัฐบาลอังกฤษเลย
สมัยนั้น อังกฤษ มีนายกรัฐมนตรีหญิงที่ชื่อว่า มาร์กาเร็ตแธตเชอร์
เหตุการณ์ฮิลล์สโบโร่ มีผู้เสียชีวิต 97 คน และบาดเจ็บถึง766 คน ประเด็นนี้แหละที่ทำให้เกิดเรื่องระหว่างคนในเมืองลิเวอร์พูล กับ แธตเชอร์ รวมทั้งหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ดังอย่าง “เดอะ ซัน” มาเกี่ยวข้อง
ที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้คดีพลิกโฉมหน้า และเหยียบย่ำสภาพจิตใจของญาติผู้เสียชีวิตให้มีความรู้สึกว่า คนตายไร้ค่า
คนอยู่ก็คือ ตายทั้งเป็น!!!
Scousers Don’t by The SUN ที่เป็นโปสเตอร์ เป็นป้ายติดอยู่แถวร้านหน้าสนามแอนฟิลด์ หรือจะเป็นป้ายที่แฟนบอลหงส์มักจะเอามาชูเวลาวันแข่งประโยคที่ว่า Expose the lies before thatcher dies
ปรากฏว่า แธตเชอร์ มีท่าทีที่เชื่อมั่น และให้การสนับสนุนข้อมูลจากตำรวจเซาท์ ยอร์คเชียร์ โดยเจ้าหน้าที่ดังกล่าว ได้โจมตีว่า แฟนบอลลิเวอร์พูล คือต้นเหตุของเหตุการณ์ครั้งรุนแรงหนนั้น
ด้วยถ้อยคำที่แฟนบอลรับไม่ได้ทั้งการดื่มสุราเมาอย่างหนัก,การปัสสาวะรดศพ, หลายคนติดคดีเป็นอาชญากร แม้กระทั่งมีการบอกว่า มีการข่มขืนศพด้วยซ้ำ!
ร้ายยิ่งกว่าก็คือ ดอกเตอร์สเตฟาน ป็อปเปอร์ แพทย์ผู้รับหน้าที่ชันสูตรศพ ให้การว่า เขาสั่งให้หยุดการค้นหาแฟนบอลผู้รอดชีวิตในเวลา 15.15 น. เหตุเขลาเบาปัญญาคิดแค่ว่าคงไม่มีใครรอดชีวิต
แต่พอมีการมาสืบค้นข้อเท็จจริงกันอย่างจริงจัง พบว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น มีแฟนบอล 31 ราย ที่ชีพจรและตับยังไม่หยุดทำงาน
แต่การหยุดการค้นหา ทำให้พวกเขาต้องเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าในเวลาต่อมา
รัฐบาลของ แธตเชอร์ ปิดคดีทั้งหมด แต่แฟนบอลหงส์ไม่ยอมและต่อสู้มายาวนาน กระทั่งเดือนตุลาคม 2012
ทุกอย่างถูกเปิดขึ้นและทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายถูกต้องหนแรกในรอบ 23 ปี
เดวิด คาเมร่อน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กลายเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนแรกที่กล่าวขอโทษกลางสภาในเรื่องของฮิลล์สโบโร่
เกมปลดปล่อยดวงวิญญาณ 96 คน ตรงกับเกมแดงเดือด ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯยูไนเต็ด ซึ่งตัวผมมีโอกาสได้ไปชมเกมนั้นและจับกระแสได้ว่า แฟนฟุตบอลยังคงไม่พอใจอย่างมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเดอะ ค็อป ผู้ล่วงลับ
เนื่องมาจากข้อมูลในยุคของ แธตเชอร์ ไม่ตรงกับความเป็นจริงเยอะมาก รวมถึงไม่ยอมค้นหาความเป็นจริง ยังผลให้แฟนบอลลิเวอร์พูล ไม่ชอบ แธตเชอร์
ยิ่งมารวมกับการที่เคยมีเหตุการณ์จลาจลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1981 ก็เพราะนโยบายที่อาจจะบอกได้ว่า “ไม่เอาลิเวอร์พูล” ของ แธตเชอร์ ยิ่งแล้วใหญ่
เพราะเธอเลือกที่จะพัฒนาเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ และเบอร์มิ่งแฮม
อย่างไรก็ดี หลังเหตุการณ์นี้ “หญิงเหล็ก” ผู้นี้ยืนหยัดต่อสู้ในเรื่องของฟุตบอลมากมาย โดยเฉพาะสองประเด็นที่เป็นบรรทัดฐานมาจนถึงทุกวันนี้
ประเด็นแรกคือ การยืนหยัดต่อสู้กับฮูลิแกนในสนามฟุตบอล แบบต่อต่อตาฟันต่อฟัน และปราบได้เกือบจะทั้งหมด และประเด็นสองคือ ประกาศให้เน้นในเรื่องความปลอดภัยของผู้ชมในสนาม จนเป็นที่มาของการปรับอัฒจันทร์ยืนมาเป็นที่นั่งทั้งหมดในเวลาต่อมา
แต่ในฐานะผู้สูญเสีย ลิเวอร์พูล ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ หลังเหตุโศกนาฏกรรมอีกครั้ง เมื่อผู้คุมบังเหียนทีมอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช ตัดสินใจอำลาตำแหน่งเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 1991 หลังจบเกมการคุมทัพเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 4-4 ในศึกเอฟเอ คัพ นัดรีเพลย์ เพียง 2 วัน
แรกทีเดียว มีข่าวว่า ดัลกลิช แบกความกดดันไม่ไหว ทิ้งทีมไปในช่วงที่ทีมกำลังอยู่ในช่วงโรยรา
สุดท้ายข้อมูลเชิงลึกค่อยๆ เปิดขึ้นมาว่า ดัลกลิช ต้องแบกรับความกดดันต่างๆ จากเหตุการณ์ฮิลล์สโบโร่ ทั้งรับการปรึกษากับครอบครัวผู้สูญเสีย ครอบครัวผู้บาดเจ็บ ต้องไปงานศพบางครั้ง 4 งานภายในวันเดียว
การต่อกรกับหนังสือพิมพ์เดอะ ซัน ที่ไม่ยอมลงข่าวขอโทษ ทั้งที่“คิง เคนนี่” ได้โทรไปคุยกับ เคลวิน แม็คเคนซี่ บรรณธิการในตอนนั้นและแน่นอนที่สุด เคนนี่ ก็ต้องแบกความหวังของแฟนบอลเดอะ ค็อปทั้งโลก เพราะต้องคุมทีมลงแข่งขัน
มันส่งผลเสียหายในเรื่องของความสำเร็จในสนามฟุตบอลของ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะบอลลีกที่ช่องว่างไม่ได้แชมป์ยาวนานถึง 30 ปี
เมื่อความจริงได้ปรากฏ ปลายปี 2012 มีการเปิดเอกสารกว่า 450,000 หน้า ที่รวบรวมมาจาก 80 ภาคองค์กรรวมถึงรัฐบาล,ตำรวจ,หน่วยพยาบาลฉุกเฉิน,สภาเมืองเชฟฟิลด์ และเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพจากเซาท์ ยอร์คเชียร์
รายงานสรุปเหตุการณ์กว่า 400 หน้า ที่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน เมื่อวันพุธที่ 12 กันยายน 2012
โดยใจความสำคัญอยู่ที่หน้า 394
ข้อความระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ และนักการเมือง ได้โยนความผิดให้กับ 96 ผู้เสียชีวิต ว่าเป็นตัวการของเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ เดวิด คาเมร่อน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ออกมาแถลงการณ์ขอโทษต่อเหตุการณ์ดังกล่าวทันที
“จากน้ำหนักของหลักฐานชิ้นใหม่ที่รายงานมา ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องแสดงความขอโทษต่อครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมด กับสิ่งที่ต้องเจอมาตลอด 23 ปีที่ผ่านมา ในส่วนของรัฐบาล และประเทศของเรา ผมต้องขอโทษกับความอยุติธรรม ที่ให้เราได้รับรู้ข้อมูลที่ผิดๆ มาโดยตลอด ผมขอโทษ”
นั่นคือแถลงการณ์ขอโทษครั้งแรกที่เกิดขึ้นสำหรับรัฐบาลอังกฤษ
ขณะที่จอมแสบอย่าง “เดอะ ซัน” ได้ออกมากล่าวขอโทษ อย่างเป็นทางการลงบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันที่ 13 กันยายน 2012
ใจความระบุว่า รายงานเรื่องโศกนาฏกรรมฮิลล์สโบโร่ เป็นวันที่มืดมิดที่สุดในประวัติศาสตร์ของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่มีอะไรสามารถแก้ตัวต่อการเสนอข่าวหน้าหนึ่งของเดอะ ซันภายใต้หัวข่าวที่ว่า “The Truth” มันไม่ตรงไปตรงมา,หยาบช้าเป็นอย่างยิ่ง และน่ารังเกียจอย่างที่สุด เรื่องราวนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด”
ใช่....ในฐานะสื่อด้วยกัน ถือว่าหยาบช้ามาก
แต่ถ้าในฐานะแฟนฟุตบอล มึงกับกูไม่ต้องมาเผาผีกันอีกต่อไป!!!!
มั่นใจได้เลยว่า ไม่มีใครสนใจเรื่องคำขอโทษจาก เดอะ ซัน มันคือตลอดไป.....อภัยไม่ต้องมี
เป็นสื่อที่ควรค่ากับการได้รับคำว่า “ไร้จรรยาบรรณ” สิ้นดี
การต่อสู้ยังไม่จบในวันนั้น ญาติของผู้สูญเสีย ได้รับการชูมืออีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 26 เมษายน 2017
หลังจากคณะลูกขุนได้มีมติสรุปให้ผู้ที่เสียชีวิต นั้นเป็นการเสียชีวิตโดยมิชอบทางกฎหมาย และมีสาเหตุมาจากความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว
คณะลูกขุน มีบทสรุปว่า พฤติกรรมของแฟนบอลลิเวอร์พูล ไม่มีสาเหตุและความเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโรแต่อย่างใด ด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 2 ยืนยันว่า แฟนบอลหงส์แดงที่เสียชีวิต 96 รายนั้นมาจากการกระทำโดยมิชอบทางกฎหมาย
เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจในเกมนั้นต่างละเลยปฏิบัติหน้าที่
ภาพตีแผ่ออกไป กับน้ำตาแห่งความปีติยินดีของญาติผู้วายชมน์พวกเขาได้รับชัยชนะ และวิญญาณของแฟนบอลคือ ผู้บริสุทธิ์แบบสมบูรณ์
เพราะนั่นคือความผิดที่พวกเขาไม่ได้ก่อ แต่กลับถูกป้ายสีมานานถึง 28 ปี
อีก 4 วันต่อมา ได้มีการสั่งดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ 6 คน ในเหตุการณ์วันนั้น
1.เดวิด ดัคเค่นฟิลด์ อดีตตำรวจเซาท์ ยอร์คเชียร์ ที่เป็นตัวหลักในการดูแลเกมนัดดังกล่าว
2.เซอร์นอร์แมน เบ็ตติสัน อดีตตำรวจเซาท์ ยอร์คเชียร์
3.โดนัลด์ เดนตั้น อดีตตำรวจเซาท์ ยอร์คเชียร์
4.อลัน ฟอสเตอร์ หัวหน้าแผนกสืบสวนสอบสวนเซาท์ยอร์คเชียร์
5.เกรแฮม แม็คเรลล์ ผู้กำกับดูแลความปลอดภัยประจำสโมสรเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์
6.ปีเตอร์ เม็ตคาล์ฟ ทนายความประจำสถานีตำรวจเซาท์ยอร์คเชียร์
ทั้ง 6 คนโดนข้อหาเนื่องจากเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง แต่กลับร่วมกันปกปิดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด และโยนความผิดให้กับแฟนฟุตบอล.......คือโทษทุกคนยกเว้นโทษตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากเกมดังกล่าวมีผลกระทบมากมายมหาศาลจริงๆ กระทบเป็นลูกโซ่ จุดนี้ ลิเวอร์พูล รับผลกระทบไปเต็มๆ
มีการประชุมจนมีมติแห่งชาติว่า จะต้องยกเลิกการยืนเชียร์ฟุตบอล และปรับเป็นที่นั่งทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยของแฟนฟุตบอล
“หงส์แดง” ต้นเรื่อง ยุติอัฒจันทร์ยืนเชียร์เมื่อ 30 เมษายน 1994เพื่อทุบฝั่ง “ค็อป สแตนด์” ให้เป็น “ที่นั่ง” ทั้งหมด
เป็นเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์นับร้อยปีของวงการฟุตบอล
ที่สำคัญมันเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์หลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการสูญเสีย “คิง เคนนี่” ของ ลิเวอร์พูล...........
บี แหลมสิงห์
เกร็ด‘หงส์แดง vs เจ้าป่า’
l คู่นี้พบกันตั้งแต่ปี 1895 จนนัดล่าสุดคือ 1999 ปรากฏว่า ลิเวอร์พูล ชนะ 56 เสมอ 29 ฟอเรสต์ ชนะ 30
l นับเฉพาะ เอฟเอ คัพ เจอกัน 9 ครั้ง ลิเวอร์พูล ชนะ 6 เสมอ 2 แพ้ 1 โดย ฟอเรสต์ ชนะ 2-0 รอบ 2 เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 1895 หงส์ใช้นักบอลสก็อต 10 คน ชื่อแม็ค 7 คน!!! นั่นคือแม็คแคนน์, แม็คคาร์ทนี่ย์, แม็คลีน, แม็คเค, แม็ควีน, 2 คน ฮิวจ์ กับ แมตต์ และ แม็ควีน
l ในยุคพรีเมียร์ลีก คู่นี้คือคู่แรกที่เตะในวันอาทิตย์ เมื่อ 16 สิงหาคม 1992 ฟอเรสต์ ชนะ ลิเวอร์พูล 1-0 จากลูกยิงของเอ๊ดเวิร์ด “เท็ดดี้” เชอริงแฮม
l ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ ฟอเรสต์ ในการพบกัน 4 เกมหลังสุด ด้วยการชนะ 3 โดยนัดสุดท้ายที่เจอกันก่อนหน้านี้คือ 5 เมษายน 1999 เสมอที่ซิตี้ กราวนด์ 2-2 ซึ่ง ปิแอร์ ฟาน ฮอยดองค์ ตีเสมอนาทีที่ 90
l 12 เกมที่มาเยือนหลังสุด ลิเวอร์พูล ไม่เคยชนะเลย โดยชนะครั้งสุดท้ายในดิวิชั่น 1 ปี 1984 สกอร์ 2-0 จาก รอนนี่วีแลน และเอียน รัช
l ฟอเรสต์ ตกชั้นตั้งแต่ซีซั่น 1998-99 ไปท่องยุทธจักรเดอะ แชมเปี้ยนชิพ 6 ปี แล้วร่วงไปดิวิชั่น 3 รวม 3 ปี ก่อนจะปีนกลับมาเดอะ แชมเปี้ยนชิพ หรือดิวิชั่น 2 ซีซั่น 2008-09 มีโอกาสเพลย์ออฟ 2 ครั้ง แต่ไม่ได้ขึ้น แต่ก็ทรงๆ ทรุดๆ มา 10 ปี
l ทีมปัจจุบัน สตีฟ คูเปอร์ วัย 42 ปี เป็นกุนซือชาวเวลส์ เคยคุมทัพ ลิเวอร์พูล ชุดเยาวชน ระหว่าง 3 กันยายน ปี 2008-2013 โดยคุมทีม ยู-12 ต่อด้วยการโปรโมตให้เป็นผู้จัดการอะคาเดมี่ปี 2011 และคุมทัพยู-18 ซีซั่น 2012-13
l ผู้เล่นที่เขาเทรน ก็คือ ราฮีม, เทรนท์ และวู้ดเบิร์น จากนั้นเขาเลือกเส้นทางใหม่ไปทำงานทีมชาติอังกฤษ ในฐานะผู้ชำนาญการ และสอนหลักสูตรให้กับสมาคมฟุตบอลแคว้นเวลส์ แบบ เอ-ไลเซ่นส์
l เขาทำ “หงส์ขาว” สวอนซี เกือบขึ้นชั้น ได้อันดับ 4 และแพ้นัดชิงเพลย์ออฟให้กับ เบรนฟอร์ด เขาออกจากสโมสรด้วยความยินยอมร่วมกันในเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว แต่ในวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา กลับมารับงานอีกครั้งที่ซิตี้ กราวนด์ ด้วยสัญญา 2 ปีแทนที่ คริส ฮิวจ์ตัน หลังจาก ฟอเรสต์ ออกสตาร์ทในลีก 7 นัดแพ้ไปถึง 7 ได้แค่คะแนนเดียว
l ในเกมเอฟเอ คัพ ได้เล่นในบ้านมาตลอด 3 รอบ ชนะ อาร์เซนอล 1-0, ชนะ เลสเตอร์ 4-1 และชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ 2-1 ส่วน ลีกคัพ ตกรอบแพ้ วูล์ฟส์ 0-4 ตอนนั้น ฮิวจ์ตัน ยังทำทีม ทำให้เขาคุมทีมไปแล้ว 31 นัด ชนะ 18 เสมอ 9 แพ้ 4 ทำให้ ฟอเรสต์ อยู่อันดับที่ 8 มี 58 แต้ม ตามหลังโซนเพลย์ออฟคะแนนเดียว
l โฆเซ่ เซกูรา เป็นไอดอล เป็นผู้ทรงอิทธิพลหลักของเขา ทั้งคู่ทำงานร่วมกันที่อะคาเดมี่ของลิเวอร์พูล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี