การโคจรมาปะทะกันระหว่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แมทช์เดย์คืนวันอาทิตย์นี้ ถือว่าถูกที่ถูกเวลาอย่างที่สุด

ฟุตบอลอังกฤษ พรีเมียร์ลีก ที่ดูเหมือนว่า “จะจบ” ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม เพราะ แมนฯซิตี้ มีคะแนนเหนือกว่าทุกทีมอยู่ถึง 2 หลัก กลายเป็นว่า มาถึงวันนี้

เกมการดวลแข้งเหลืออีก 8 เกมสุดท้าย ที่ผ่านมา 30 นัด แมนฯซิตี้ มี 72 แต้ม นำหน้า ลิเวอร์พูล อยู่แค่คะแนนเดียวเท่านั้น

แถมประตูได้เสียที่เป็นตัวแปรสำคัญ ลิเวอร์พูล วิ่งแซงหน้าไป 5 ลูก

เท่ากับแมทช์นี้ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม จึงเป็นนัดที่ “ชี้ชะตา”ช่วงที่เหลือของการล่าแชมป์ซีซั่นนี้เลยก็เป็นไปได้

ส่วนจะ “ตัดสินแชมป์” หรือไม่นั้น เชิญคิดกันได้ตามใจตามอารมณ์

กลยุทธ์อันดุเดือดของยอดกุนซือ

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ของลิเวอร์พูล ถูกมองว่า คือคู่ปะทะกุนซือที่ดีที่สุดคู่หนึ่งตลอดกาล ด้วยการนำทีมยกระดับจนทีมอื่น “ยากเกินต้าน”

ในยุคพรีเมียร์ลีก คู่ปะทะสุดเดือดคงไม่พ้น เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับ อาร์แซน เวนเกอร์ ก่อนจะมี “มือที่สาม” อย่างโชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาป่วน แน่นอนที่สุด เป๊ป กับ คล็อปป์ ถูกจับตามองเป็นอย่างมากนับตั้งแต่ คล็อปป์ พาทีมมาสู้ตั้งแต่ซีซั่นสุดสูสี 2018-19 เท่ากับว่า 4 ปีหลังสุดนี้

อัดกันตรงๆ 3 ซีซั่นเลยทีเดียว โดยสองครั้งแรกนั้นได้รับการชูมือไปคนละครั้ง

สไตล์ของทีมเหมือนกันคือ 4-3-3 แต่รายละเอียดในการเล่นต่างกันลิบลับ

เข้าใจง่ายสุดคือ ภาพหลักของแมนฯซิตี้ นั่นคือ พอบุกแล้วหลังจะเป็น 3 คน ด้วยการบีบ ไคล์ วอล์คเกอร์ แบ๊กขวามายืนแนบกับคู่เซ็นเตอร์ แล้วให้ ชูเอา กานเซโล่ ขึ้นไปอยู่แดนบน จากปีก่อนอยู่ด้านในแทบจะตรงกลางสนาม ปีนี้ไปวิ่งตัดในเข้าถึงกรอบโทษ

ฝั่ง ลิเวอร์พูล ภาพหลัก นั่นคือ พอบุกแล้วหลังจะเป็น 3 คน ด้วยการขยับ เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค ที่หลักจากการเปิดบอลปกติ หรือเล่นสวิงพาสต์ ก็จะชวน โฌแอล มาติ๊ป ขยับขึ้นมายืนแผงเดียวกับ ฟาบินโญ่ ส่วนแบ๊กสองฝั่งจะดันขึ้นไป โดยเฉพาะเทรนท์ ปีนี้เล่นหลากรูปแบบ แต่ช่วงหลักไม่ค่อยเข้าไปด้านใน แต่ยืนเพื่อเลือกเป้าจากแนวทแยง

แค่นี้ก็ต่างกันแล้ว นี่ยังไม่นับกลางกับหน้า

เป็นปกติฟุตบอลสมัยใหม่ที่ “เล่นบอลสั้นเป็นหลัก” ซึ่งข้อมูลจาก BBC ระบุว่า แมนฯซิตี้ เล่นบอลสั้นกว่า สถิติคือบอลสั้น 44% และบอลยาว 15%

ลิเวอร์พูล สถิติบอลสั้น 37% และบอลยาว 19%

ทั้งสองทีมเป็นจอมครองบอล และสนุกกับการไล่เพรสคู่แข่ง จะสังเกตบอลของ ซิตี้ ครองเยอะกว่า ลิเวอร์พูล แต่บอลจะถูกกระจายออกด้านข้างไว้ก่อน ส่วนบอลของ ลิเวอร์พูล ที่จะเดินไปข้างหน้าเร็วกว่า

ดูเหมือนว่า เป๊ป เองจะเน้นและให้น้ำหนักกับการครองบอลไว้ก่อนเป็นลำดับแรกๆ ที่น่าสนใจก็คือ ซีซั่นนี้ ซิตี้ จ่ายบอลกันในกรอบเขตโทษเป็นอันดับ 1 และผู้ที่ติดมาเป็นอันดับ 2 ก็ไม่ใช่ใคร...ลิเวอร์พูล นั่นเอง

การให้บอลในกรอบของ ซิตี้ ไม่ต้องดูตัวเลข เราเห็นด้วยตาเปล่าได้ว่า การยืนผังแรกนั้น เควิน เดอ บรอยน์ จะยืนกลางตัวขวา แต่เขามักจะมาโผล่ที่ริมเขตโทษด้านซ้าย ที่ ซิตี้ ใช้ในการถลุงคู่แข่งด้วยการไปเล่น “บอลเป็นกลุ่ม” มากกว่าทางขวาของตัวเอง ซึ่งจะเป็นพื้นตรงนั้นเป็นฝั่งลิเวอร์พูลที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ โฌแอล มาติ๊ป ต้องรับมือเต็มๆ ทำให้ผู้เล่นกองกลางด้านขวาของหงส์ สำคัญมาก

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ไม่ได้สตาร์ทเลย 3 นัด ในบอลยุโรป อาจจะได้ลงมาเล่นในฐานะกัปตันทีม แต่น่าเสียดายตรง นาบี เกอิต้า ที่จะต้องหลุดไป ทั้งที่กำลังเล่นได้ท็อปมาก ในการจั่วจังหวะเข้าตัด พร้อมกับการเปลี่ยนรับเป็นรุกอย่างฉับพลันในระยะไกลที่แม่นยำกว่า แน่นอนกว่า เฮนโด้ อยู่หลายปี๊บ

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีตรงที่ ลิเวอร์พูล พัฒนาในเรื่อง “คุณภาพผู้เล่นเชิงลึก” ขึ้นมา หลังจากเป็นรอง ซิตี้ มาหลายปี แม้กระทั่งปีที่เป็นแชมป์(2019-20) จนปีนี้ เราได้เห็นว่า ตัวเลือกที่จะลงสนามในแดนกลาง 3 คน แดนหน้า 3 คน

ที่ว่าง 6 ตำแหน่งนี้ มีนักเตะให้เลือกแบบคุณภาพเดียวกันฝั่งละ 9 คนเลยทีเดียว

ตัวสำรองที่เลิศรสจะเปลี่ยนรสชาติเกม

แมนฯซิตี้ มีปัญหาในเรื่องของเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เมื่อ รูเบนดิอาส นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีบาดเจ็บ และ เป๊ป ยืนยันว่า ลงไม่ได้แน่นอน ทำให้แนวทางการเล่นเป็นไปได้ที่ จอห์น สโตนส์ ผู้เคยดับฝันเตะบอลคาบเส้นที่ 11.7 มิลลิเมตร ในเกมเมื่อปี 2019 จะเล่นคู่กับ อายเมอริค ลาปอร์กต์ โดยมี เอแดร์ซอน โมราเอส เฝ้าเสาที่จะได้วัดฝีมือกับ อลิสซอน เบคเกอร์ โดยตรง ส่วนแบ๊กขวา-ซ้ายคือ ไคล์ วอล์คเกอร์ และชูเอา กานเซโล่

กองกลาง 3 คน ถูกจับจองแล้วคือ โรดรี้ กับ เควิน เดอ บรอยน์

กองหน้า 3 คน ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ได้รับการไว้วางใจตลอด 3 แมทช์ 3 รายการหลังสุดที่ทีมลงเล่น น่าจะจองแน่ๆ กับ ฟิล โฟเด้น

ทีนี้เหลืออีก 2 ตำแหน่ง เป๊ป จะได้เลือกจาก แบร์นาโด้ ซิลวา, อิลคาย กุนโดกัน, แจ๊ค กลีริช, ริยาด มาห์เรซ, กาเบรียลเฮซุส

ลิเวอร์พูล มีข่าวแรกว่าไม่มีปัญหา แต่ไม่มี โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ในสนามซ้อมเมื่อวันศุกร์ แต่เขาน่าจะเป็นออปชั่นที่เป็นรองคนอื่นในเกมรุกอยู่แล้วในช่วงเวลานี้ที่อยู่กับแบบครบองค์

อลิสซอน จะเฝ้าเสา บอลจากตัวเขาปีนี้สำคัญมาก เมื่อการเปิดบอลจากระยะเกิน 36 หลา แม่นยำมากขึ้นกว่าเดิม เป็นอีกหนึ่งอาวุธรุกตั้งแต่แนวรับ ส่วนแนวแบ๊กโฟร์จะใช้ โฌแอล มาติ๊ป ตามแผนที่พักไว้จากบอลยุโรป คู่กับ เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ แน่นอนว่าขวาซ้ายต้องคู่แอสซิสต์อย่าง เทรนท์
อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

จากนั้นก็จะเหมือนกับ แมนฯซิตี้ นั่นคือ ตัวเลือกกลางกับหน้าที่มีให้เลือก 9 แต่ลงได้ 6

กองกลาง จองแน่นอน คือ ฟาบินโญ่ ที่ฟิตแล้ว (เจ็บหัวนะไม่ได้เจ็บขาจากที่สไลด์เข่าเฮผิดคิว) กับ ธิอาโก้ อัลคันตาร่า

กองหน้า 3 คน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คือตัวเลือกแรก ถึงเขาจะยิงไม่ได้ แต่การเล่นของเขาสร้างความอันตราย และเกิดอิมแพคอยู่ตลอดเวย์ อีกคนที่ต้องเล่นคือ ซาดิโอ มาเน่ ที่ควรจะเล่นเพื่อให้ความสมดุลซ้ายขวากลับมา หรือปักตรงกลางก็อันตราย ซึ่งตัวเขาเองไม่ได้ต่างจาก ซาล่าห์ เพราะยิงไม่ได้แต่ถามว่า ใครไม่กลัวบ้าง

ทีนี้เหลืออีก 2 ตำแหน่ง คล็อปป์ จะได้เลือกจาก นาบีเกอิต้า, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, หลุยส์ ดิอาซ, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และดีโอโก้ โชต้า

ดังนั้นไม่ต้องซีเรียส ว่า ใครจะสตาร์ท เพราะการเปลี่ยนตัวได้อีก 3 จุด อาจเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการตัดสินในเกมนี้ หาก “แผนแรก” ใช้ไม่ได้ หรือใช้แล้วไม่ได้ผลที่พึงประสงค์

ว่ากันด้วยเรื่องของสารพัดเฮดทูเฮด

เป๊ป กับ คล็อปป์ มีสถิติการเจอกันในฐานะผู้จัดการทีมที่สูสีกันอย่างที่สุด

21 เกม ที่ได้วัดฝีมือกันมาตั้งแต่สมัยคุมทัพกันที่เยอรมนีจนวันนี้ที่เกาะอังกฤษ ปรากฏว่าเท่ากันเป๊ะตรงที่ เป๊ป ชนะ 9 คล็อปป์ ก็ชนะ 9 และเสมอกัน 4 เกม

8 เกมแรก เป็นการเจอกันที่เยอรมนี ก่อนที่ คล็อปป์ จะมาอังกฤษในปลายปี 2015 ส่วน เป๊ป มาในซัมเมอร์ต่อมาคือ 2016

สถิติการพบกันตลอดกาลของทั้งสองทีม “หงส์แดง” กินขาดแน่นอน เริ่มจากในบอลลีกชนะ 82 เสมอกัน 44 และซิตี้ชนะ 45 ส่วนสถิติทุกรายการนั้น ลิเวอร์พูล ชนะ 90 ซิตี้ ชนะ 48 และเสมอกัน 50 นัด

การยกพลมาเยือนที่รังของเรือใบ ไม่ใช่เรื่องง่ายของ ลิเวอร์พูล ในยุคพรีเมียร์ลีก หากนับเฉพาะ คล็อปป์ คุมทัพบุกมาชนะ ซิตี้ ได้หนเดียว ด้วยการยำใหญ่ 4-1 เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2015 หลังจากรับงานได้เดือนเศษ แต่ครั้งนั้นกุนซือซิตี้ คือ มานูเอลเปเยกรินี่

จากนั้น เสมอ 2 และแพ้ 3

แต่ในช่วงเวลานั้นมีบุกมาชนะในศึกแชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อ10 เมษายน 2018 ด้วยสกอร์ 2-1

คำครหากับสถิติแท้จริงของผู้ตัดสิน

ทันทีที่พรีเมียร์ลีกประกาศรายชื่อผู้ตัดสินที่จะทำหน้าที่ ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กว้างขวางกันเลยทีเดียว

แอนโธนี่ย์ เทย์เลอร์ จะทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินในสนามส่วน พอล เทียร์นี่ย์ รับหน้าที่ดูวีเออาร์

ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากว่าทั้งสองคนนี้เกิดที่เมืองแมนเชสเตอร์!!!!

เทย์เลอร์ มาจาก วายเทนชอว์ ส่วน เทียร์นี่ย์ เป็นคนจาก ซัลฟอร์ด ซึ่งเป็นคนจากเกรตเตอร์ แมนเชสเตอร์ ทั้งคู่

ปีนี้ เทย์เลอร์ อาจไม่เท่าไหร่ แต่ เทียร์นี่ย์ เวลาเป็นผู้ตัดสินปีนี้สร้างวีรกรรมมากมาย ส่งผลต่อ ลิเวอร์พูลโดยตรง

อาทิ เกมที่บุกไปเสมอกับสเปอร์ส 2-2 ที่ไม่ยอมไล่แฮร์รี่ เคน ออก หรือเกมที่ แมนฯซิตี้ บุกชนะ เอฟเวอร์ตัน 1-0 แล้วไม่เป่าว่า โรดรี้ แฮนด์บอล จนเป็นเรื่องราวก่นด่ากันใหญ่โต

อย่างไรก็ตาม เมื่อลงลึกรายละเอียด กรรมการและผู้ควบคุม VAR ในเกมลีกของ “บิ๊ก6” ในยุค VAR เข้ามาร่วมตัดสิน คือ 2 คนนี้

พรีเมียร์ลีก ได้เลือกสิ่งที่พวกเขาพิจารณาถึงตัวเลือกผู้ตัดสินมาทำงานในเกมใหญ่ที่น่าเชื่อถือที่สุด สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล

เทย์เลอร์ ตัดสิน 20 นัด และ เทียร์นี่ย์ คุม VAR 12 นัด

ลองเคาะสถิติของ เทย์เลอร์ ออกมา ปรากฏว่า ลิเวอร์พูล เองก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดในการดวลกับ 2 ทีม จากบ้านเกิดของเทย์เลอร์

24/10/2021 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0:5 ลิเวอร์พูล,13/05/2021 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2:4 ลิเวอร์พูล, 02/07/2020 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4:0 ลิเวอร์พูล, 03/01/2019 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2:1 ลิเวอร์พูล, 17/10/2016 ลิเวอร์พูล 0:0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ 03/02/2013 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2:2 ลิเวอร์พูล

เท่ากับว่าสถิติคือ ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 2 แถมสถิติก็ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก

ยิ่งไปกว่านั้น เทย์เลอร์ กับ เทียร์นี่ย์ เคยทำงานร่วมกัน และตัดสิน ลิเวอร์พูล ลงสนามในฐานะผู้ตัดสิน และผู้ดู VAR มาแล้ว 2 เกมด้วยกัน

ภาพตัดมาว่า สกอร์คือ ลิเวอร์พูล ชนะ สเปอร์ส 2-1 เมื่อปี 2019 และชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-2 เมื่อปี 2021

ดังนั้นไม่น่าจะเกี่ยวกับ “ปลายนิ้ว” และ “ฝีปาก”

น่าจะฝากไว้ที่ “ฝีเท้า” และ “โชคชะตา” มากกว่า!!!!!

บี แหลมสิงห์