ศึกใหญ่ลีกยุโรป แทบจะปิดฉากตำแหน่งแชมเปี้ยนกันเกือบทั้งหมดแล้ว หลังจากสองทีมดัง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ชูถ้วยพรีเมียร์ลีก สมัยที่ 5 ในรอบ6 ปีหลังสุด และ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่าชูถ้วยลา ลีกา สเปน เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี
ซีซั่นนี้ นาโปลี ครองแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ซึ่งเป็นลีกดัง 1 ใน 5 ของวงการลูกหนังยุโรป และเวทีโลกเป็นทีมแรกของซีซั่นนี้ หลังจากออกนำแบบสุดกู่มานาน ก่อนจะได้แชมป์เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่ง นาโปลี เป็นแชมป์สมัยที่ 3 ซึ่งห่างจากครั้งที่ 2 นานถึง 33 ปี นับตั้งแต่ซีซั่น 1989-90 เป็นต้นมา
ในศึกลา ลีกา สเปน บาร์เซโลน่าครองแชมป์อย่างเด็ดขาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากบุกไปยำ เอสปันญ่อล คู่ปรับร่วมคาตาลุนญ่า 4-2 เก็บเพิ่มเป็น 85 คะแนน จาก 34 นัด การันตีคว้าแชมป์ทันที หลังมีแต้มนำห่างคู่ปรับตลอดกาลอย่าง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ถึง 14 แต้ม แต่เหลือเกมอีกแค่ 4 นัด ก่อนจะได้ชูถ้วยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นแชมป์สมัยที่ 27 และเป็นหนแรกนับตั้งแต่ปี 2019
ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ครองแชมป์ได้สำเร็จเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังจาก“ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล พลาดท่าบุกไปแพ้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 0-1ทำให้แต้มขาด ก่อนที่ ซิตี้ จะรับแชมป์ในถิ่นหลังจากปราบ เชลซี 1-0 เป็นแชมป์สมัยที่ 9 ของสโมสร ประกอบด้วยซีซั่น 1936-37, 1967-68, 2011-12, 2013-14, 2017-18, 2018-19, 2020-21, 2021-22 และ 2022-23 โดยแชมป์ลีกของพวกเขาเกิดขึ้นในยุคชีคถึง 7 ครั้งด้วยกัน
ทางฝั่ง ลีก เอิง ฝรั่งเศส เกือบจะจบแล้ว หลังจากผ่านนัดที่ 36 เมื่อปารีส-แซงต์ แชร์กแมง บุกไปบด โอแซร์ 2-1 และ ลองส์ บุกไปชนะ ลอริยงต์ 3-1
ทำให้ เปแอสเช มี 84 คะแนนขณะที่ ลองส์ มี 78 คะแนน ห่างกันอยู่ 6 แต้ม และเหลืออีก 2 นัด โดยลีกเมืองน้ำหอมใช้กฎการตัดสินแชมป์คือ 1.แต้ม 2.ประตูได้เสีย และ 3.การพบกันโดยตรง(เฮด ทู เฮด)
ประเด็นที่น่าสนใจคือ เฮด ทู เฮดทั้งสองทีมเท่ากันคือ พบกันนัดแรกลองส์ ชนะ 3-1 และนัดที่สอง เปแอสเช ชนะ 3-1 อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขจากนี้คือ เปแอสเช ของคะแนนเดียวจาก 2 เกมสุดท้ายจะเป็นแชมป์ทันที
ที่ตื่นเต้นที่สุด ณ เวลานี้คือบุนเดสลีกา เยอรมนี หลังจากที่เกิดการพลิกผันครั้งสำคัญในนัดที่ 33 ซึ่งเป็นนัดรองสุดท้ายของเมื่อ “เสือใต้”บาเยิร์น มิวนิค พลาดท่าพ่ายคาบ้านตัวเองให้กับ “กระทิงเปลี่ยว” แอร์เบ ไลป์ซิกไปแบบเจ็บปวด 1-3 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาและจากนั้นในวันอาทิตย์ “เสือเหลือง”โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แซงขึ้นไปนำจ่าฝูงได้สำเร็จ ด้วยการบุกไปถลุง เอาก์สบวร์ก ยับเยิน 3-0
สถานการณ์ปัจจุบัน ดอร์ทมุนด์ขึ้นนำจ่าฝูงเป็นที่เรียบร้อย ด้วยการมี70 คะแนน ประตูได้เสียบวก 39 ขณะที่บาเยิร์นฯ 68 คะแนน ประตูได้เสียบวก53 โดยนัดสุดท้ายวันเสาร์นี้ ดอร์ทมุนด์จะเล่นในบ้านเจอกับ ไมนซ์ 08 ที่ลอยตัวอยู่กลางตาราง ฟากของ บาเยิร์นฯ จะไปเยือนเอฟซี โคโลญจน์ ที่ลอยตัวแล้วเช่นกัน
ในกรณีกติกาการนับคะแนนบุนเดสลีกา เยอรมนี 1.คะแนน (ดอร์ทมุนด์ดีกว่า 2 แต้ม), 2.ผลต่างประตูได้เสีย(บาเยิร์นฯ ดีกว่า 14 ลูก), 3.การทำประตู (บาเยิร์นฯ ดีกว่า 9 ลูก), 4.ผลการพบกันโดยตรง หรือ เฮด ทู เฮด(ดอร์ทมุนด์ เสมอ บาเยิร์นฯ 2-2 และ บาเยิร์นฯ ชนะ 4-2)
ข้อแม้ก็คือ ดอร์ทมุนด์ ชนะทุกอย่างจะจบทันที แต่สำหรับกรณีปัจจุบันจะเกิดขึ้นได้นั่นเกินข้อ 2 ก็คือดอร์ทมุนด์ เสมอ และบาเยิร์นฯ ชนะ
เท่ากับว่า ถ้าหาก ดอร์ทมุนด์ เป็นแชมป์สำเร็จ ลีกใหญ่ในปีนี้จะเปลี่ยนโฉมหน้าแชมป์ไปอย่างน้อย 3 ชาติส่วน “มันนี่บอล” อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเปแอสเช อาจจะยากกว่าเก่า
แต่บทจบก็ยังเหมือนเก่านั่นเอง.......
บี แหลมสิงห์