ผู้สูงอายุนับวันมีมากขึ้น เพราะอัตราการเกิดลดลง มีผลต่อสภาพสังคม เศรษฐกิจ การขาดแคลนแรงงาน และคุณภาพแรงงาน และไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเทียบกับต่างประเทศ เราคงเสียเปรียบความสามารถด้านนวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ แถมเรายังประสบปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำด้วย
ที่น่าคิด คือ อัตราการเกิดของไทยลดลงก็จริง แต่เกิดกับชนชั้นกลางและมั่งมี ส่วนคนยากจนคงไม่ลด เป็นการมีลูกไม่ได้วางแผน ไม่ได้คิด มีลูกตามประสบการณ์รอบตัวที่ไม่ค่อยได้คุมกำเนิด เห็นได้ชัดทั้งในเมืองและชนบท จึงน่าเป็นห่วงว่าในอนาคตอีกไม่กี่ปี หรือ 5 ปี 10 ปี 20 ปี เด็กเหล่านี้จะกลายเป็นผู้สูงวัยที่ยากจน ที่อาจเพิ่มขึ้นจนอาจะเป็นภาระและปัญหาของรัฐบาล แถมลูกหลานคนยากจนมักมีการศึกษาเล่าเรียนน้อย เพราะขาดเงิน โอกาสที่จะเรียนรู้ทักษะ นวัตกรรม หรือการพัฒนาแรงงานหรือชีวิตที่มีคุณภาพ หรือยากจะเลี้ยงดูผู้สูงวัยได้
คงต้องยอมรับว่า ผู้สูงวัยชั้นกลาง หรือมั่งมีส่วนมากมีโอกาสรับความรู้ และไม่น้อยเป็นบุคคล มีศักยภาพ ทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ สามารถใช้ความสามารถทำประโยชน์ต่อสังคมได้ เพราะไม่ต้องห่วงเรื่องการดำรงชีพ เนื่องจากพอจะมีเงิน มีรายได้ ที่จะเลี้ยงตัวได้
ขณะที่ ผู้สูงวัยยากจนจะขาดโอกาส การศึกษา การเรียนรู้ การพัฒนาศักยภาพ เพราะแค่จะอยู่รอดก็ยากแล้ว จึงควรแก้ปัญหานี้ให้ได้ด้วยการวางแผนและวิจัยว่าเด็กยากจนเหล่านี้จะพัฒนาทักษะ และแรงงานได้แค่ไหน จะได้เลี้ยงดูผู้สูงวัยได้โดยไม่เป็นภาระแก่สังคมมากนัก หรือมีโอกาส หรือลดความเหลื่อมล้ำในวันข้างหน้า
ผู้เขียนได้รับเชิญเป็นกรรมการ “คณะผู้ทรงคุณวุฒิในการจัดทำแผนที่นำทาง และยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรมรายสาขาด้านศักยภาพและโอกาสของผู้สูงอายุ” โดยมี ศ.เกียรติคุณ ดร.ปราโมทย์ ประสาทกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธาน นายสมปรารถนา สุขทวี ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนการวิจัย วช. เป็นเลขานุการ ซึ่งเรื่องผู้สูงอายุ ต้องดูแลและขอสนับสนุนที่มีโครงการวิจัยแบบนี้ โดย วช. จะทำ Road Mapเชิงรุก การวิจัยและนวัตกรรมโอกาสของผู้สูงอายุ เป็นกรอบการวิจัย ก็ควรคำนึงถึงผู้สูงวัยในปัจจุบันที่เป็นปัญหายังแก้ไขไม่ได้ เพื่อเป็นแนวทางแก้ไข ผู้สูงวัยในอนาคต ถ้าปัจจุบันยังแก้ไขไม่ได้ อนาคตก็คงยากที่มีสูงวัยที่อยากเห็น อยากได้ และอยากให้เป็นอย่างมีคุณภาพ
การจัดสรรทุนวิจัยและนวัตกรรม รวมทั้งแผนการที่จะทำการวิจัยและนวัตกรรม จึงควรมีระยะสั้น น่าจะไม่เกิน 2 ปีเพื่อเป็นแนวทางวางแผนระยะยาว เพื่อให้ได้ผลตามความเป็นจริง และปัญหาที่มีอยู่ หากรัฐบาลหวังจะขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติอย่างเหมาะสม
หวังว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะส่งเสริมให้ตรงกับความเป็นจริง ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ก็มุ่งมั่นตั้งใจขับเคลื่อนอย่างเต็มที่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี