การเมืองในระบอบเลือกตั้งก่อนใช้รัฐธรรมนูญปีพ.ศ.2540 และก่อนมี “พรรคไทยรักไทย” นั้น นักการเมืองจะหาเสียงเหมือนๆ กันคือ 1.แก้ปัญหาความยากจน 2.กำจัดคอร์รัปชั่น 3.สร้างความยุติธรรมในสังคม ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาหลักของประเทศไทยมาทุกยุคทุกสมัยแม้จนวันนี้
นักการเมืองรู้ดีว่า 3 ปัญหาหลักนี้นำมาหาเสียงเมื่อใดก็ย่อมจะได้ผล จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ “วาทะ” หากเป็นพรรคใหญ่หรือพรรคเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วก็จะครองใจคนได้มากกว่า
ส่วนจะทำได้อย่างพูดหรือไม่ มากน้อยแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง!
แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ นอกจากปราบคอร์รัปชั่นไม่ได้แล้ว นักการเมืองบางส่วนกลับคอร์รัปชั่นเสียเอง (ร่วมกับข้าราชการบางส่วนที่มีอำนาจจัดซื้อ-จัดจ้าง-จัดหา)
ล่วงมาถึงรัฐธรรมนูญปีพ.ศ.2540 และในปีพ.ศ.2543 คุณทักษิณได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย การรณรงค์หาเสียงก็ยังพูดถึงปัญหาหลักดังกล่าว แตกต่างกันเพียงพรรคไทยรักไทยมีนโยบายหรือโครงการใหม่ๆ ที่ดูขึงขังอลังการกว่าพรรคการเมืองเก่า จนได้เสียงข้างมากและได้จัดตั้งรัฐบาล มีคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี
นโยบายและโครงการต่างๆ ได้รับการขับเคลื่อนอย่างคึกคักอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ พร้อมกับข่าวการคอร์รัปชั่นอย่างชวนวิตก แต่ประชาชนส่วนมากไม่สนใจ พวกเขาสนใจนโยบายประชานิยมมากกว่า ซึ่งมันได้ส่งผลถึงการเลือกตั้งสมัยต่อมาที่พรรคไทยรักไทยได้คะแนนเสียงมากกว่าครั้งแรก และได้จัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง คุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีเช่นเดิม
ข่าวการคอร์รัปชั่น ข่าวการใช้อำนาจหน้าที่ของตนกอบโกยผลประโยชน์นั้นดังมากขึ้น คนส่วนหนึ่งเห็นว่านโยบายและโครงการต่างๆ นั้นสร้างมาเพื่อการคอร์รัปชั่นเป็นหลัก และโยนเศษกระดูกให้ประชาชนพอได้ลิ้มรสและติดใจ ยิ่งมาถึงสมัย “พรรคเพื่อไทย” ที่คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีก็ยิ่งมีข่าวคอร์รัปชั่นมากขึ้น เช่น โครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความโกลาหล จนคนจำนวนมากเข้าใจว่าเป็นความพยายาม
จะคอร์รัปชั่นให้ได้มากที่สุด ตั้งแต่เจ้าของโครงการผู้คุมโครงการระดับต่างๆ โรงสีในเครือข่าย และสมุนบริวารของแต่ละก๊วนแต่ละแก๊ง จนชาวนาเดือดร้อนวุ่นวาย และต้องเป็นเครื่องบูชายัญโครงการด้วยการผูกคอตายหนีความทุกข์ไป 22 คน
โครงการนี้มีบางคนถูกตัดสินให้รับโทษไปแล้ว แต่ตัวใหญ่ๆ ยังลอยนวลอยู่จนวันนี้
นับแต่พรรคไทยรักไทยจนถึงพรรคเพื่อไทยในสมัยที่คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นการคอร์รัปชั่นได้แผ่ขยายเป็นเครือข่ายฝังรากลึกครอบคลุมอยู่ทั่วในสังคมไทย ตั้งแต่ระดับชาติจนถึงระดับท้องถิ่น รวมถึงผู้เลือกตั้งด้วย!
นักการเมืองจึงรู้ดีว่า การประกาศจะกำจัดคอร์รัปชั่นนั้นไม่เป็นผลดีแก่ตน พวกเขาจึงพูดถึงการกำจัดคอร์รัปชั่นน้อยมาก ทั้งตอนหาเสียงและการอภิปรายในสภา เพราะพูดแล้วตนอาจจะไม่ได้รับความนิยม!
ตอนนี้ก็มีแต่คุณหมอวรงค์ เดชกิจวิกรมแห่ง “พรรคไทยภักดี” เท่านั้นที่พูดถึงเรื่องคอร์รัปชั่น (และการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์)
เมื่อนักการเมืองและเครือข่ายต่างได้รับผลประโยชน์จากการคอร์รัปชั่น พวกเขาจึงไม่ต้องการให้ใครกำจัดคอร์รัปชั่น! แต่กลับปกป้องผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับมาแล้วและจะได้รับต่อไปในภายหน้า ด้วยการเลือกและสนับสนุนพรรคการเมืองที่ให้ส่วนแบ่งการคอร์รัปชั่น หรือเปิดโอกาสให้พวกเขาคอร์รัปชั่นและแสวงหาผลประโยชน์อื่นได้
นักการเมืองระดับชาติก็ปกป้องสนับสนุนนักการเมืองตัวพ่อ เพราะได้ผลประโยชน์และอาจมีอำนาจ ถ้าเป็นทาสรับใช้ตัวพ่ออย่างดี
นักการเมืองในท้องถิ่น (อบต. อบจ. เทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หัวคะแนนรับจ้าง) ก็สนับสนุนนักการเมืองระดับชาติในจังหวัด (สส.) ของตน เพราะได้ผลประโยชน์
ประชาชนก็สนับสนุนนักการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ เพราะได้ประโยชน์จากนโยบายประชานิยม แถมด้วยค่าเสียเวลาไปลงคะแนนเสียง!
ทั้งหมดนี้กลายเป็น “ฐานอำนาจใหม่”ของนักการเมืองทุกระดับจนถึงตัวพ่อที่อยู่บนยอดสุดของพีระมิดแห่งอำนาจ
ดังนั้นไม่ว่านักการเมืองคนใดที่ถูกตราหน้าว่าโกงชาติ ปล้นแผ่นดิน โดนประจาน ต้องโทษหรือไร้ความสามารถบริหารประเทศ ก็จะได้รับเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป จนกว่าจะมีนักการเมืองอื่นที่ “ให้มากกว่า”
เมื่อการคอร์รัปชั่นกลายเป็นเรื่องธรรมดา “ใครก็ทำกัน” ก็ย่อมจะนำไปสู่วันที่ประเทศชาติล่มสลาย เมื่อถึงวันนั้นผมก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครหลั่งน้ำตาด้วยความสำนึกผิด แต่จะก่นด่าฟ้าดินหรือก่นโทษคนอื่นว่าเป็นต้นเหตุ พร้อมกับมองหาเจ้าพ่อคอร์รัปชั่นคนใหม่มาเอื้อและอวยประโยชน์ให้ตนต่อไป
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี