ใครเห็นชื่อเรื่องแล้วผมเชื่อว่าคงเอียน เอียนคำว่า “ประชาธิปไตย” ผมเองก็เอียนเช่นกันแต่ก็ต้องเขียน เพราะประเทศชาติของเรากำลังเผชิญกับปัญหา “ประชาธิปไตยของใครของมัน” ที่เป็น “กับดัก” อยู่
ประเทศไทยปกครองด้วย “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่เป็นผลของการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันมาตั้งแต่สมัยคณะราษฎรเรืองอำนาจ ที่มีทั้งฝ่ายนิยมกษัตริย์กับฝ่ายต่อต้านกษัตริย์ สุดท้ายก็จบลงด้วยการมีกษัตริย์ ด้วยเหตุและปัจจัยหลายอย่าง
การที่ประเทศไทยยังคงมีพระมหากษัตริย์ในยุคของคณะราษฎรนั้น ถือว่าเป็นการประนีประนอมระหว่างฝ่ายนิยมกษัตริย์กับฝ่ายต่อต้านกษัตริย์ นักวิชาการในประเทศตะวันตกที่ศึกษาการเมืองไทยกล่าวว่าเป็นการสร้าง “ดุลยภาพ” ทางการเมืองของประเทศไทย
แปลว่าอำนาจของ 2 ฝ่ายนั้นสมดุลกันแล้ว ต่างมีสถานะ บทบาท หน้าที่แตกต่างกันอย่างเหมาะสม
แต่ดุลยภาพนี้ก็มีการบ่อนเซาะให้เสียดุลยภาพเรื่อยมา ตั้งแต่มีคณะราษฎรและมีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แม้ต่อมาจะล้มหายตายจากไปแล้ว ก็มีคนจำนวนมากที่ยังยึดมั่นอุดมการณ์ของคณะราษฎรและพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ คนเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วทุกสาขาอาชีพเรื่อยมา โดยเฉพาะวงการสื่อ การเมืองและราชการ
เมื่อทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้ง “พรรคไทยรักไทย”ก็มีพวกนิยมลัทธิมาร์กซ์จำนวนมากเข้าร่วมด้วย เหตุผลของพวกเขาก็คือ “ต้องยึดอำนาจรัฐโดยผ่านการเลือกตั้งไว้ให้ได้ก่อน เพื่อไม่ให้อำนาจรัฐตกอยู่ในมือของพวกฝ่ายขวา (อนุรักษนิยม)” และ “ทักษิณเป็นคู่ขัดแย้งหลักกับกษัตริย์ จึงต้องใช้ทักษิณเป็นเครื่องมือหรือแนวร่วม ส่วนทักษิณก็ใช้คนพวกนี้เป็นเครื่องมือหรือแนวร่วมเช่นกัน
ล่วงมาถึงวันนี้ปรากฏว่าพวกมาร์กซิสม์กลายเป็น “องครักษ์พิทักษ์ตระกูลชิน” ไปหมดแล้ว!
ทักษิณเป็นนายทุน จึงไม่มีวันเป็นมาร์กซิสม์หรือนักสังคมนิยมไปด้วย เขาต้องการเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศเท่านั้น...ในยุคเสื้อแดงเรืองอำนาจจะเห็นป้ายผ้าขนาดใหญ่หน้าเวทีของพวกเขาเขียนว่า “สาธารณรัฐ” ถ้าเป็นพวกมาร์กซิสม์ก็หมายถึง “สาธารณรัฐสังคมนิยม” ถ้าเป็นพวกลิเบอรัลก็หมายถึง “สาธารณรัฐประชาธิปไตย” ที่มีการเลือกตั้ง “ประธานาธิบดี” เช่นเดียวกับประเทศทางตะวันตก นั่นคือเป้าหมายของพวกเขา
หัวใจของสาธารณรัฐทั้ง 2 แบบนี้เหมือนกันคือ ไม่ต้องการกษัตริย์
ทั้งหมดบอกได้ว่า “สงคราม” ยังดำเนินอยู่ในสังคมไทย เป็นสงครามของฝ่ายนิยมกษัตริย์กับฝ่ายต่อต้านกษัตริย์ ที่สืบเนื่องมาแต่ยุคคณะราษฎรและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มันคือ “สงครามระบอบ”
เป็นสงครามที่คนไทย 2 ฝ่ายต่อสู้กันเพื่อระบอบตามที่ฝ่ายตนต้องการ
ในสมัยปัจจุบันเป็นสงครามที่ต่อสู้กันทั้งในสนามเลือกตั้งและในโลกออนไลน์ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่แน่ว่าฝ่ายใดจะชนะ
เลือกตั้งสมัยหน้า พรรคก้าวไกลประกาศว่าจะได้คะแนนเสียงมากกว่านี้ ไม่ว่าจะโดนยุบพรรคหรือไม่ จนอาจจะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
ถ้าพรรคก้าวไกล (หรือชื่ออื่น) สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวหรือมีพรรคเพื่อไทยร่วมด้วย พรรคก้าวไกลก็มีธง “แก้มาตรา 112” อยู่แล้ว ซึ่งคนที่สนใจการเมืองรู้ดีว่าหมายถึงอะไร และศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินแล้วเมื่อ 31 ธันวาคม 2566 ถ้าพรรคก้าวไกลดันทุรังก็จะนำไปสู่ความวุ่นวายในสังคม
แม้พรรคก้าวไกลจะได้คะแนนสูงสุดจนจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่เลือกพรรคนี้ทั้งหมดจะเห็นดีเห็นงามไปกับการแก้มาตรา 112 คนส่วนมากที่เลือกพรรคการเมืองทุกพรรคนั้นมีแรงจูงใจหลัก3 อย่าง คือ
1.เลือกเพราะนโยบายแจกเงิน ทั้งแจกฟรีและแจกในโครงการสวัสดิการต่างๆ
2.เลือกตามกระแสที่ถูกปั่น และเลือกคนหล่อ-คนสวย-คนหนุ่ม-คนสาว
3.เลือกตามหัวคะแนนสั่ง ซึ่งก็มีการขายเสียงอยู่ด้วย
นอกนั้นก็เลือกตามนโยบายด้วยเหตุด้วยผล ซึ่งมีน้อยมาก
การเลือกด้วยแรงจูงใจ 3 อย่างนั้นเองที่สนับสนุนให้พรรคการเมืองมี “พลัง” ทำสงครามระบอบ เพราะมีข้ออ้างว่า “เป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่” ดังที่พรรคก้าวไกลเคยอ้างมาแล้ว
ระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นทั้ง “สิทธิเสรีภาพ” และ “กับดัก”
สิทธิเสรีภาพ ก็คือ มันเปิดกว้างจนใครก็สามารถสร้างระบอบใหม่ได้ โดยผ่านการเลือกตั้ง
กับดัก ก็คือ ความโลภ ความโง่ ความไม่รู้เท่าทันของประชาชน จนตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือของนักการเมือง ที่ดักพวกเขาด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้า
ประชาธิปไตยจึงไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพเท่านั้น แต่มันยังเปิดโอกาสให้ประชาชนทำลายกันเองและประเทศชาติด้วย
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี