15 ปีกว่าที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ได้ชื่อว่ารวยแล้วโกง และ “โกงโคตร-โคตรโกง” หนีคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดินไปหลบอยู่ในต่างประเทศที่ดูไบมีคฤหาสน์หรู มีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวสามารถบินไปไหนมาไหนได้บนโลกใบนี้ได้เกือบ 100 ประเทศ โดยที่ประเทศเหล่านั้นไม่สามารถจับตัวทักษิณส่งให้ทางการไทยในฐานะ “ผู้ร้ายข้ามแดน” ได้ เพราะทักษิณเปลี่ยนสัญชาติเป็นพลเมืองมอนเตเนโกรและถือพาสปอร์ตของประเทศมอนเตเนโกร ซึ่งพูดได้ว่าประเทศไทยสงบสุขกับการที่บุคคลผู้นี้หนีออกไป
แปดเดือนนับตั้งแต่ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมาพร้อมๆ กับที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ประเทศนี้ก็กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรเลย ง่วนอยู่กับการแก้ปัญหาให้ตระกูลชินวัตร โดยเฉพาะการรับใช้สองพี่น้องที่เป็นนักโทษคดีทุจริต คือ ทักษิณ กับ“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
“ทักษิณ ชินวัตร” นั้นรอดไปแล้ว ยังเหลือน้องสาวอีกหนึ่งคน ที่พี่ชายจะต้องพากลับมาบ้านก่อนงาน “เช็งเม้ง” ในวันที่ 5 เมษายนปีหน้า พร้อมทั้งร่วมฉลองเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ไทยในหมู่ญาติพี่น้องครอบครัวชินวัตรอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ทำไมต้องก่อนงาน “เช็งเม้ง” เพราะเช็งเม้งเป็นวันสำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีน ที่ลูกหลานในตระกูลจะต้องกลับมารวมตัวกันเพื่อไหว้ “สุสาน” หรือ “ฮวงซุ้ย” ของบรรพบุรุษ
แต่สำหรับเช็งเม้งของปีนี้ที่เพิ่งผ่านมา โดยนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ได้จัดพิธีกราบไหว้นายเลิศ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อ และนางยินดี ชินวัตร ผู้เป็นแม่ ณ สุสาน ที่อ่างเก็บน้ำห้วยแม่ออน อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 ปรากฏว่ามี“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” คนเดียวใน “ตระกูลชินวัตร” ที่ไม่ได้มาร่วมพิธี
และช่วงเทศกาลสงกรานต์หลังงานเช็งเม้งของตระกูลชินวัตร “ทักษิณ ชินวัตร” ยังได้กลับไปบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่อีกครั้ง และให้สัมภาษณ์สื่อว่า สงกรานต์ปีหน้า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” คงได้มีโอกาสมาทำบุญด้วยกัน เพราะยิ่งลักษณ์อยากกลับและตั้งใจจะกลับภายในปี 2567 นี้ ส่วนจะกลับมาวันไหนอย่างไร ทักษิณกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ตั้งใจอย่างนั้น แต่ยังไม่รู้จะอย่างไร จะกลับมาทางช่องทางไหน เอาความตั้งใจก่อน”
จะว่าไปแล้ว ก็ด้วย “ความตั้งใจ” ของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นั้นเอง จึงทำให้คนอย่างนายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ และมีบทบาทในฐานะ“ผู้จัดการรัฐบาล” ต้องจัดมหกรรมจำอวดกิน “ข้าวเน่าของยิ่งลักษณ์” โชว์ เพื่อฟอกขาวให้แก่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อย่างเอิกเกริก และได้กลายเป็นข่าวให้ผู้คนในสังคมรู้สึกสมเพชเวทนา ที่นายภูมิธรรมถึงขนาดต้องเอาตัวเข้าแลก ด้วยการกินข้าวอาบสารพิษจากการรมยาทุกๆ เดือนตลอดระยะเวลา 10 ปี
อย่างไรก็ตาม ดังที่ว่ามานั้น ถือได้ว่าปัญหาของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นับเป็นเรื่องหนึ่งของความวุ่นวาย หลังจาก “ทักษิณ ชินวัตร” กลับเข้ามาในประเทศไทย แต่ก็ยังถือเป็นเรื่องรองเมื่อเทียบกับเรื่องของทักษิณเอง
“ทักษิณก็คือทักษิณ” จุ้นทุกเรื่อง ไม่เคยอยู่นิ่ง เป็นนักโทษที่ไม่ใช่นักโทษ เป็นคนขี้โกง เป็นคนโกหกปลิ้นปล้อน ไม่เคยสำนึกเกี่ยวกับความชั่วที่ตนก่อไว้จากคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดิน มิหนำซ้ำยังสำคัญตนเองผิด และมีผลประโยชน์ทับซ้อนในทุกเรื่องที่เอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง
และเรื่องนี้สำคัญมากกรณี “ทักษิณ ชินวัตร” แอบพบกับผู้นำกองกำลังชนกลุ่มน้อยในพม่าแบบ “ลึกๆ ลับๆ” ระหว่างที่เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงสงกรานต์เดือนที่แล้ว โดยสำนักข่าว “วอยซ์ ออฟ อเมริกา” หรือ VOA สื่อของสหรัฐอเมริกา นำมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ทักษิณได้พบปะหารือกับบุคคลสำคัญของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนมา
รายละเอียดของข่าวเปิดเผยว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ได้จัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ กับคณะผู้นำของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลเงาที่จัดตั้งขึ้นโดยอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเมียนมา ระหว่างที่นายทักษิณเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา
รวมทั้งยังได้พบปะกับคณะผู้แทนจากกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธต่างๆ อาทิ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU), พรรคก้าวหน้าแห่งชาติกะเหรี่ยงแดง, องค์กรแห่งชาติคะฉิ่น และเจ้ายอดศึก ประธานสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (RCSS) และผู้นำกองทัพรัฐฉาน (SSA)
รายงานข่าวระบุด้วยว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ได้แสดงเจตจำนงต้องการเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทหารเมียนมากับองค์การต่อต้านของกลุ่มชาติพันธุ์ (ERO) ซึ่งต่อสู้กับรัฐบาลเมียนมาตั้งแต่รัฐบาลพลเรือนของพรรค NLD ที่มีนางออง ซาน ซู จี เป็นประธานพรรค ถูกยึดอำนาจโดยการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 อีกทั้งยังมีรายงานด้วยว่า ทักษิณได้ขออนุญาตเดินทางเยือนเมียนมา แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเมียนมาภายใต้การนำของ “พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย”
“ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างพักโทษ การเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องของเมียนมา เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ใช่หน้าที่ของนักโทษ และที่สำคัญการไปประชุมพบปะหารือกับผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเมียนมา ยิ่งไม่สมควรอย่างยิ่งเพราะเรื่องนี้หมิ่นเหม่ต่อการ “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” อันจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ“ไทย-เมียนมา”
การ “จุ้นจ้าน” ของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ขนาดนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ “ใบ้รับประทาน” เพราะใครก็รู้เป็นทาสรับใช้ทักษิณ จึงไม่กล้าพูดอะไรที่จะไปกระทบกับ “นายใหญ่” หรือแม้แต่นายเศรษฐา ทวีสิน ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้แต่เฉไฉตอบไม่ตรงคำถามว่า “ผมไม่ทราบว่ามีการไปเจรจาหรือเปล่าแต่เราเอง กระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายความมั่นคงเองมีการพูดคุยกับทุกกลุ่มอยู่แล้ว แต่เป็นเรื่องของชั้นความลับ เป็นเรื่องที่เราไม่อยากจะเปิดเผย”
เพราะอย่างนี้นี่เอง ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ถึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เนื่องจากไม่ยอมสยบอยู่ใต้อำนาจโจร !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี